
มิชลินได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานรีไซเคิลยางล้อแห่งแรกภายใต้ความร่วมมือกับ ‘เอ็นไวโร’ บริษัทสัญชาติสวีเดนซึ่งเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่ได้รับสิทธิบัตรในการนำคาร์บอนแบล็ค น้ำมัน เหล็กกล้า และก๊าซ จากยางที่สิ้นอายุใช้งานแล้วกลับมาใช้ใหม่
โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตอันโตฟากัสตา (Antofagasta) ของประเทศชิลี สามารถรีไซเคิลยางรถเหมืองได้สูงถึง 30,000 ตันต่อปี หรือคิดเป็นสัดส่วนราวร้อยละ 60 ของยางรถเหมืองจากทั่วประเทศที่ถูกนำมาบดให้เป็นเศษยางในแต่ละปี การก่อสร้างที่เริ่มขึ้นในปี 2564 มีกำหนดจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มเดินสายพานการผลิตในปี 2566 โดยการก่อสร้างจะใช้งบลงทุนมากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
โซลูชั่นในการรีไซเคิลครบวงจรซึ่งจะแปรรูปทุกส่วนของยางล้อเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ ด้วยกระบวนการรีไซเคิลนวัตกรรมใหม่ โรงงานรีไซเคิลที่ทันสมัยแห่งนี้จะสนับสนุนระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยเศษยางจะถูกเก็บรวบรวมจากพื้นที่ประกอบกิจการของลูกค้าโดยตรง จากนั้นจะถูกขนส่งไปยังโรงงานเพื่อตัดเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปรีไซเคิล
เทคโนโลยีของเอ็นไวโร ซึ่งใช้ในการผลิตวัสดุใหม่ชนิดนำกลับมาใช้ซ้ำได้คุณภาพสูง อาทิ คาร์บอนแบล็ค, น้ำมันไพโรไลซิส (Pyrolysis Oil), ก๊าซ และเหล็กกล้า จะช่วยแปรรูปทุกส่วนของยางที่สิ้นอายุใช้งานแล้วเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่
ตามแผนงาน ณ ปัจจุบัน ร้อยละ 90 ของวัสดุที่ได้จากการรีไซเคิลจะถูกนำกลับมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์จากยาง (Rubber-Based Products) หลากประเภท อาทิ ยางล้อ, สายพานลำเลียง และผลิตภัณฑ์กันสั่นสะเทือนต่างๆ ส่วนอีกร้อยละ 10 ที่เหลือโรงงานจะนำมาผลิตกระแสไฟฟ้าและความร้อนเพื่อใช้ภายในโรงงานเอง
โรงงานรีไซเคิลแห่งนี้จะช่วยให้มิชลินสามารถนำเสนอโซลูชั่นในการรีไซเคิลที่ครบวงจร เริ่มจากการจัดเก็บยางที่สิ้นอายุใช้งานแล้ว จนถึงการนำวัตถุดิบที่ได้จากการรีไซเคิลไปใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ
แซนเดอร์ เวอร์มิวเลน (Sander Vermeulen) รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจและการตลาด กลยุทธ์ และธุรกิจใหม่ด้านวัสดุไฮเทค กล่าวว่า “ภายใต้การร่วมทุนกับเอ็นไวโร บริษัทฯรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ประกาศให้ทราบถึงการเริ่มดำเนินการก่อสร้างโรงงานรีไซเคิลแห่งแรกของกลุ่มมิชลิน นี่เป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จที่สำคัญยิ่งซึ่งจะช่วยให้เราสามารถนำเสนอโซลูชั่นด้านการรีไซเคิลที่ทันสมัยล่าสุดให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ ให้กับกลุ่มมิชลิน ขณะนี้เรากำลังอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเหมืองสัญชาติชิลี 2-3 ราย เพื่อทำสัญญาระยะยาวร่วมกัน การนำเทคโนโลยีของเอ็นไวโรมาใช้ในสเกลขนาดใหญ่เช่นนี้เท่ากับเป็นการสนับสนุนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมของเอ็นไวโรและส่งเสริมการพัฒนาระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน”




