เศรษฐกิจ

รถยนต์ในประเทศเศรษฐกิจ

เบนซ์ เผยโฉม S-Class Coupé และ S-Class Cabriolet

เบนซ์ เผยโฉม Mercedes-Benz S-Class Coupé และ Mercedes-Benz S-Class Cabriolet สองสุดยอดยนตรกรรมสปอร์ตหรูเหนือระดับรุ่นใหม่ล่าสุด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวสองยนตรกรรมสปอร์ตสุดหรูอย่าง Mercedes-Benz S-Class Coupé และ Mercedes-Benz S-Class Cabriolet ที่รวบรวมความเป็นที่สุดของสมรรถนะเหนือชั้นกับประสิทธิภาพในทุกๆ ด้านไว้อย่างครบครัน ทั้งดีไซน์  อันเป็นเอกลักษณ์ที่ยกระดับมาตรฐานการออกแบบของรถยนต์สปอร์ตขึ้นไปอีกขั้น รวมถึงระบบเทคโนโลยี ความปลอดภัย และนวัตกรรมอันล้ำสมัยที่จะเติมเต็มประสบการณ์แห่งการขับขี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยรถยนต์ Mercedes-Benz S 560 Coupé AMG Premium นำเสนอในราคา 15.99 ล้านบาท และ Mercedes-Benz S 560 Cabriolet AMG Premium นำเสนอในราคา 16.72 ล้านบาท ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั้ง 32 แห่งทั่วประเทศ นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “รถยนต์ตระกูล S-Class ถือเป็นหนึ่งในรถยนต์รุ่นที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเมอร์เซเดส-เบนซ์  ซึ่งนับตั้งแต่ได้มีการเปิดตัวสู่สาธารณชนเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2515 รถยนต์ตระกูลนี้ได้สร้างยอดขายให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์รวมแล้วกว่า 4,000,000 คัน ดังนั้นเพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ในการมอบ “สิ่งที่ดีที่สุด” ให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง พร้อมสะท้อนคุณค่าของแบรนด์ ทั้งในด้านความหลงใหล (Fascination) และความสมบูรณ์แบบ (Perfection) ทางบริษัทฯ จึงได้นำเสนอสมาชิกรุ่นใหม่ล่าสุดของรถยนต์ตระกูล S-Class ในกลุ่ม Dream Car อย่าง        Mercedes-Benz S-Class Coupé และ Mercedes-Benz S-Class Cabriolet...
คมนาคมนวัตกรรมรถเพื่อการพาณิชย์

รออีกนิด !! 9 ก.ย. เปิดใช้แท็กซี่ไฟฟ้า วีไอพี

ไรเซน เอนเนอร์จี ส่งมอบยานยนต์ไฟฟ้า “บีวายดี อีซิกส์” (BYD e6) จำนวน 101 คัน ให้แก่บริษัท อีวี โซไซตี้ จำกัด ผู้บริหารกิจการแท็กซี่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งสานความร่วมมือกับกรมการขนส่งทางบก ผลักดันการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งสาธารณะครั้งแรกของประเทศไทย ในโครงการ “อีวี แท็กซี่ วีไอพี” (EV Taxi VIP) เพื่อยกระดับคุณภาพรถและบริการของแท็กซี่ไทย โดยจะเริ่มประจำการที่สนามบินสุวรรณภูมิตั้งแต่วันที่  9 กันยายน 2561 เป็นต้นไป สามารถเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่น Taxi Ok ของกรมการขนส่งทางบก หรือผ่านคอลล์เซ็นเตอร์ นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมยังได้เร่งผลักดันให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในระบบขนส่งสาธารณะ ทำให้การเปิดตัว EV Taxi VIP ภายใต้การยกระดับมาตรฐานแท็กซี่ไทยโครงการ Taxi VIP ของกรมการขนส่งทางบก จะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างระบบการคมนาคมขนส่งที่มีคุณภาพในทุกด้าน  เนื่องจากรถที่นำมาใช้ให้บริการเป็น EV Taxi VIP เป็นรถที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า 100% ในการขับเคลื่อน เพิ่มจำนวน Taxi VIP ซึ่งเป็นการให้บริการรถหรูระดับพรีเมี่ยม ที่มีมาตรฐานครอบคลุมในทุกมิติตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด โดยมีสถานีอัดประจุไฟ Charging station ให้บริการทั้งหมด 30 แห่งทั่วกรุงเทพ เพียงพอกับความต้องการใช้งานของรถ EV Taxi VIP นอกจากนี้ รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้จัดพื้นที่จอดรถบริเวณชั้น 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้กับรถ EV Taxi VIP ส่งเสริมความเป็น Smart Airport ให้กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสร้างเป็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อการท่องเที่ยวของประเทศ นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ในส่วนของความร่วมมือของภาคเอกชนครั้งนี้ บริษัท...
อสังหาฯเศรษฐกิจไลฟสไตล์

 เปิดตัวโรงแรม ซิกส์เซ้นส์ แห่งแรกในกรุงเทพฯ

MQDC และ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ เปิดตัวโรงแรม ซิกส์เซ้นส์ แห่งแรกในกรุงเทพฯ พร้อมด้วยที่พักอาศัยจำนวน 36 หลัง ภายใต้แบรนด์ ซิกส์เซ้นส์ ภายในเดอะ ฟอร์เรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูสที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตั้งอยู่ในพื้นที่บางนากว่า 119 เอเคอร์ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ เปิดตัวโรงแรมภายใต้แบรนด์ ซิกส์เซ้นส์ ครั้งแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ในเดอะ ฟอร์เรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูสที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล  ความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัยแบรนด์ ซิกส์เซ้นส์ ด้วย โดยได้มีพิธีลงนามสัญญาร่วมกัน ณ ศูนย์ RISC ชั้น 4 แมกโนเลีย ราชดำริ บูเลอวาร์ด นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC และมร.คริส โอ ประธานผู้อำนวยการงานโรงแรม  MQDC เป็นตัวแทนในการเซ็นสัญญา พร้อมด้วย นายนีล เจค็อบส์  ตัวแทนจากซิกส์เซ้นส์ “การร่วมมือกันในครั้งนี้เกิดการแบ่งปันความปรารถนาดีในการมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพที่ดีที่สุดแก่ผู้อยู่อาศัยและแขกที่เข้าพัก เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญต่อความกลมเกลียวระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของ MQDC ที่เราเรียกว่า “for all well-being” นายวิสิษฐ์กล่าว “ซิกส์เซ้นส์ ได้อุทิศการทำงานอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจลูกค้า ตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ว่าด้วย Intelligent Luxury MQDC รู้สึกเป็นเกียรติที่จะเป็นเจ้าบ้านในการต้อนรับแบรนด์ระดับโลกอย่าง ซิกส์เซ้นส์ เข้ามาอยู่ในเดอะ ฟอร์เรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูสที่พัฒนาภายใต้แนวคิด “Sustainnovation” ที่คำนึงถึงทุกองค์ประกอบของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงการขยายพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวที่ช่วยทำให้เกิดประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความทรงจำที่ดี” นายนีล เจค็อบส์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทซิกส์เซ้นส์...
กิจกรรม & CSRเศรษฐกิจไลฟสไตล์

บทความพิเศษ เรื่อง: ป่าต้นน้ำกับปัญหาการจัดการน้ำของไทย

ข่าวเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศลาวแตก สาเหตุจากการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดความเดือดร้อนเกิดอุทกภัยและโศกนาฏกรรมแก่ประชาชนคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและไม่น่าเกิดขึ้นเพียงเพราะการดูแลแก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงทีหรืออาจจะเกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบ จะอย่างไรก็ตามต้องขอแสดงความเสียใจพร้อมส่งกำลังใจไปยังประสบภัยและผู้สูญเสียในครั้งนี้ด้วย ล่าสุดข่าวที่เกี่ยวกับเขื่อนและน้ำที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็มีข่าวทำนองเดียวกันคือ น้ำในเขื่อนจังหวัดเพชรบุรี ที่สูงเกินระดับมาตรฐานซึ่งไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าทำไมผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจึงปล่อยให้มาถึงจุดนี้ได้ทำไมจึงไม่มีการเฝ้าระวังและระบายน้ำไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ ท้ายที่สุดก็ต้องปล่อยน้ำระบายออกมาทางสปิลเวย์ จนก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมสร้างความเดือดร้อนไปตามเส้นทางน้ำที่ผ่าน ท่วมหมู่บ้าน ท่วมตลาด ท่วมถนนที่ชาวบ้านเคยสัญจรไปมาจังหวัดเพชรบุรีนั้นมีเขื่อนอยู่ทั้งหมด 3 เขื่อน คือเขื่อนแก่งกระจาน  เขื่อนแม่ประจัน และเขื่อนเพชร ซึ่งเขื่อนที่มีปัญหาน้ำล้นอยู่ในขณะนี้ก็คือเขื่อนแก่งกระจานที่มีอาณาเขตติดกับชายแดนเมียนมาทางฝั่งมะริด ทะวาย วิธีการระบายน้ำผ่านทางสปิลเวย์อย่างเดียวคงจะไม่พอ ล่าสุดเห็นว่าจะมีการเปิดประตูเขื่อนให้น้ำระบายออกมาทีละน้อยด้วยอีกทางหนึ่ง จะอย่างไรก็ตามน้ำส่วนเกินนี้ก็กำลังมุ่งพุ่งตรงมายังตัวเมืองเพชรบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นอำเภอท่ายาง อำเภอบ้านแหลม โดยไปตามเส้นคู คลองชลประทานต่าง ๆ ส่วนหนึ่งก็จะต้องผ่านเขื่อนเพชรซึ่งอยู่ใกล้กับอำเภอท่ายาง ถ้าระดับน้ำยังล้นเกินก็จะมีปัญหากับชาวบ้านพื้นที่แถบนี้อย่างแน่นอน จากข่าวที่นำเสนอผ่านทางทีวี ดูแล้วก็บรรยากาศคล้ายๆกับกรุงเทพมหานครในปี 2554 คือชาวบ้านร้านตลาดเริ่มก่ออิฐ ถือปูน วางกระสอบทราย กั้นผ้าใบหวังว่าจะป้องกันน้ำที่หลากไหลลงมาได้ แอบคิดในใจว่า “ไม่น่าจะมีอะไรที่จะสู้กับพลังของธรรมชาติได้” เพราะเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว ทำทุกวิถีทางทั้งใช้ดินน้ำมันใส่ถุงก๊อปแก๊ปยัดใส่โถส้วมกันน้ำมาจากทางนี้ การปิดยาแนวด้วยปูนชั้นดี การก่ออิฐ ซ้อนด้วยกระสอบทรายทับด้วยผ้าใบ ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ “เอาไม่อยู่” แต่ก็เข้าใจพี่น้องชาวเพชรบุรี เพราะจะต้องแก้ไขตามสถานการณ์...ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย  ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้อีกทางนะครับ ถ้าจะวิเคราะห์เจาะลึกกันจริงๆ สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการบริหารจัดการน้ำที่ประเทศของเรายังทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามเพราะบ้านเราประสบพบเจอปัญหา “น้ำท่วม ฝนแล้ง ซ้ำซาก” มาหลายสิบปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลย สาเหตุหลักอีกหนึ่งของปัญหาที่น่าจะเกี่ยวข้องก็คือการที่รัฐยังปล่อยให้มีการตัดไม้ทำลายป่าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้พื้นที่ป่าดิบสมบูรณ์กลายเป็นป่าพืชไร่เลื่อนลอย เนื่องด้วยปล่อยชาวบ้านหักร้างถางพงปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวไร่และพืชผักต่างๆ จนระบบนิเวศน์ของดินและผืนป่าเปลี่ยนแปลงไป เพราะระบบรากของพืชไร่และพืชผักต่างๆ ที่มนุษย์ปลูกนั้นมีความแตกต่างจากป่าไม้ยืนต้นธรรมชาติที่หยั่งรากลึกแผ่ขยายไปได้กว้างไกล ทำให้พื้นที่หน้าดินมีความสามารถสูงกว่ามากในการดูดซับกักเก็บน้ำฝน ปริมาณน้ำฝนของประเทศไทยปีหนึ่งสูงเกือบ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ในอดีตป่าไม้ยืนต้นทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำฝนได้มากถึง 70% และอีก 30 % ที่เหลือไหลลงสู่ห้วย หนอง คลอง บึง และมุ่งไปยังเขื่อนต่างๆ ทำให้ป่าในอดีตทำหน้าที่เป็นแก้มลิงซับน้ำให้ไหลลงสู่เขื่อนอย่างพอเหมาะพอดีแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อ “ป่าเขาลำเนาไพร” ส่วนใหญ่กลายเป็น “ป่าเขาหัวโล้น” จึงทำให้ไม่มีความสามารถในการกักเก็บซับน้ำ จึงทำหน้าที่กักเก็บน้ำได้เพียง 30% และอีก...
กิน-เที่ยวเศรษฐกิจไลฟสไตล์

เมล่อนอินทรีย์ สหกรณ์วัดจันทร์ สร้างอาชีพ-รายได้ยั่งยืนให้เกษตรกร

สหกรณ์วัดจันทร์ จังหวัดพิษณุโลก เมินราคาผักตกต่ำ หันส่งเสริมสมาชิกปลูกเมล่อนอินทรีย์ พืชเศรษฐกิจตัวใหม่มาแรง  ปลูกง่าย ขายคล่อง ราคาพุ่ง กำไรงาม รสชาติดีจนลูกค้าติดใจ ตลาดยังมีความต้องการ แถมราคาถูกกว่าห้าง               สร้างอาชีพยั่งยืนให้เกษตรกร เตรียมขยายโรงเรือนปลูกเพิ่มพร้อมฝึกสมาชิกนำไปปลูกเองที่บ้าน เน้นทำคุณภาพและขายตามออเดอร์  เตรียมแผนขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม พร้อมหาตลาดรองรับเพิ่มเพื่อกระจายเมล่อนสู่ผู้บริโภคในราคาไม่แพง นางกัญญา งามสงวน ผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์วัดจันทร์ จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จในการส่งเสริมอาชีพปลูกเมล่อนอินทรีย์  ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ว่า สหกรณ์ได้ส่งเสริมสมาชิกหันมาปลูก            เมล่อนอินทรีย์ ในลักษณะปลูกในโดม  ซึ่งสหกรณ์มีเป้าหมายที่จะสร้างอาชีพสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับสมาชิกและเป็นแหล่งผลิตอาหารปลอดสารพิษให้กับผู้บริโภค ที่ผ่านมา สหกรณ์ได้เริ่มต้นส่งเสริมสมาชิกปลูกผักบุ้งอินทรีย์ปลอดสาร  เป็นเวลา 1 ปี แต่เจอกับอุปสรรคเรื่องราคาผักบุ้งตกต่ำ ไม่มีตลาดรองรับและไม่คุ้มค่าแรง จึงได้หาความรู้เพิ่มเติม โดยเข้าอบรมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก และสำนักงานสหกรณ์จังหวัดพิษณุโลก ที่ได้มาสนับสนุนโครงการปลูกพืชทางเลือกและผักปลอดภัยเพื่อเพิ่มรายได้เสริมให้กับกลุ่มสมาชิก  ได้เรียนรู้วิธีการปลูกเมล่อนตามนโยบายยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและสร้างมูลค้า เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น  และพัฒนาให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร “สหกรณ์ได้รับคำแนะนำจากสำนักงานเกษตรจังหวัดในการเรียนรู้วิธีการปลูกเมล่อน ใช้เวลาเพียง 60 วัน                 ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตนำไปขายได้ และได้เตรียมตลาดไว้รองรับผลผลิตของสมาชิก เพื่อช่วยกระจายไปสู่ผู้บริโภค จากนั้นสหกรณ์จึงลงทุนสร้างโรงเรือนกลางของสหกรณ์ใช้งบประมาณ 600,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าเมล่อน เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังมาแรงที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน อีกทั้งกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมาก หากมีตลาดรองรับชัดเจน ก็จะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม เชื่อว่าในอนาคตเมล่อนจะทำเงินให้กับเกษตรกรได้อย่างงดงาม ต่อมาสหกรณ์ได้หันมาปลูกเมล่อนอินทรีย์ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี โดยซื้อเมล็ดพันธุ์เมล่อนพันธุ์กรีนเน็ตมาปลูก ซึ่งทำให้ผลผลิตมีรสชาติดี เนื้อนุ่ม หวาน หอม มีทั้งสีส้มและเขียว ปัจจุบันขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ถ้าซื้อเหมาถึงฟาร์มขายราคากิโลกรัมละ 80 บาท ซึ่งถูกกว่าตามห้างทั่วไปและยังปลอดสารด้วย เพราะ อยากให้ผู้บริโภคได้กินเมล่อนปลอดสารและราคาที่ไม่แพง”นางกัญญา กล่าว...
งานแสดงรถยนต์รถยนต์ในประเทศเศรษฐกิจเศรษฐกิจมหาภาค

สภาอุตฯเพิ่มเป้าผลิตรถยนต์ เป็น 2.08 ล้านคัน

เศรษฐกิจไทยฉลุย สภาอุตฯปรับเป้าการผลิตรถยนต์เพิ่มเป็น 2.08 ล้านคัน โดยคงเป้าผลิตเพื่อส่งออก 1.1 ล้านคัน และเพิ่มเป้าผลิตเพื่อขายในประเทศ เป็น 9.8 แสนคัน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี พ.ศ.2561 ซึ่งปรับใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2561 โดยแยกเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ดังนี้ รถยนต์ประมาณการการผลิตรถยนต์ในปี พ.ศ.2561 ปรับเพิ่มเป้าการผลิตจากเป้าเดิมอีก 80,000 คัน เป็นผลิต 2,080,000 คัน มากกว่าปี พ.ศ.2560 ที่ผลิตได้ 1,988,823 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.58 % ผลิตเพื่อส่งออก คงเป้าเดิม 1,100,000 คัน เท่ากับ 52.88% ของยอดผลิตทั้งหมด ลดลงจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 1,126,432 คัน หรือลดลง 2.35 % ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ปรับเพิ่มเป้าจากเป้าเดิมอีก 80,000 คัน เป็นผลิต 980,000 คัน เท่ากับ 47.12 % ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 862,391 คัน หรือเพิ่มขึ้น 13.64 % เป้าขายในประเทศเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น ดัชนีรายได้เกษตรกรดีขึ้น รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น ส่วนการส่งออกคงเป้าเดิม เพราะยังกังวลสงครามการค้าที่อาจขยายตัวขึ้น ค่าเงินสกุลต่างๆ ผันผวนซึ่งอาจฉุดการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงได้ ราคาน้ำมันดิบผันผวนและกระแสเงินไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดด้วย  ...
รถยนต์ในประเทศเศรษฐกิจ

แค่ 7 เดือนมาสด้าโกย 4 หมื่นคัน

มาสด้าปรับภาพลักษณ์โชว์รูมก้าวขึ้นสู่พรีมี่ยมแบรนด์ได้อย่างชัดเจน จนทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจ และส่งผลถึงยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อ ล่าสุดเดือนกรกฎาคม มียอดพุ่งสูงถึง 6,362 คัน เติบโตถึง 62% ส่งให้ยอดขายรวมสะสม 7 เดือน พุ่งแตะเกือบ 40,000 คัน นายชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ถึงแม้ว่าในปีนี้เองมาสด้าจะไม่ได้มีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดเหมือนอดีต แต่ผมถือว่าเราทำผลงานได้ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่ต้นปี เราภูมิใจอย่างยิ่งที่ลูกค้ายังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดีกับรถยนต์ในทุกรุ่นที่มีการปรับโฉม ทั้งรถยนต์มาสด้า2 และมาสด้า3 ซึ่งยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดตัวมาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ใหม่ 2018 คอลเลคชั่น เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านได้สร้างทราฟฟิกโชว์รูม มีลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมและทดลองขับอย่างล้นหลาม ถือเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่กำลังมองหารถคอมแพคเอสยูวีที่ยังคงอัดแน่นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดและฟีเจอร์ต่างๆ ใส่เข้ามาจนล้นคัน เพื่อให้ทุกคนสามารถสัมผัสถึงสมรรถนะอันทรงพลังและเทคโนโลยีอัจฉริยะของรถมาสด้าได้ในทุกรุ่น สำหรับยอดขายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา น้องเล็กอย่างมาสด้า2 ยังคงครองใจผู้บริโภคอย่างท่วมท้น ด้วยจำนวนยอดขายสูงถึง 4,346 คัน เติบโตเพิ่มขึ้น 73% ส่วนอีกรุ่นที่มาแรงไม่แพ้กัน กระแสตอบรับดีตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันที่ยังคงตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า กับรถอเนก ประสงค์เอสยูวี ออลนิว มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 จำนวน 618 คัน มีอัตราการเติบโต 96% ส่วนรถยนต์รุ่นอื่นๆ ก็เติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น มาสด้า3 จำนวน 553 คัน เพิ่มขึ้น 46% รถปิกอัพมาสด้า บีที-50 โปร มียอดขายจำนวน 625 คัน เพิ่มขึ้น 38% ส่วนมาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ยอดขายขยับขึ้นมาอยู่ที่ 220 คัน ลดลงเล็กน้อย 14% ส่งผลให้ยอดขายรถมาสด้าทั้งหมดในเดือนกรกฎาคมปิดตัวเลขอยู่ที่ 6,362 คัน หรือเติบโตสูงถึง 62% ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่งดงามของมาสด้ามาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปี...
คมนาคมนวัตกรรมรถเพื่อการพาณิชย์

เอฟอีวี สยายปีกรุกธุรกิจในเอเชีย ภายใต้บริษัท เอฟอีวี (ไทยแลนด์) จำกัด

เอฟอีวี บริษัทผู้พัฒนาระบบยานยนต์รายใหญ่จากเยอรมนี ประกาศรุกธุรกิจในเอเชียด้วยการเปิดตัวบริษัทสาขาแห่งใหม่ในไทยที่กรุงเทพมหานคร โดยสถานที่ตั้งบริษัทอยู่ที่ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ภายใต้ชื่อ เอฟอีวี (ไทยแลนด์) จำกัด ซึ่งเกิดจากการประสานความร่วมมือทั้งจากภาครัฐและลูกค้า เพื่อความต่อเนื่องในการการดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาระบบยานยนต์ เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลังยานยนต์ ตลอดจนระบบพลังงานขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แบตเตอรี่และเซลล์เชื้อเพลิง(fuel cell) ในเอเชีย โดยภายหลังพิธีเปิดบริษัทสาขาดังกล่าวแล้วได้มีการประชุมในหัวข้อ “ ทางออกของพลังงานขับเคลื่อนยานยนต์ในอนาคต” อีกด้วย นายสเตฟาน พิชชินเกอร์  ประธานและซีอีโอ ของเอฟอีวีกรุ๊ป กล่าวว่า  “ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและเทคโนโลยีสำหรับระบบขับเคลื่อนในอนาคตเพื่ออากาศที่สะอาดไร้มลพิษ แหล่งพลังงานที่ปลอดภัยและยั่งยืนกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมาก รวมถึงระบบขับเคลื่อนที่มีประสิทธิภาพสูงกำลังเป็นที่ต้องการจากทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเอฟอีวี เป็นบริษัทที่มีเป้าหมายในการพัฒนาสิ่งเหล่านี้เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดเพื่อระบบยานยนต์ในอนาคต” นายอันด์ ไชน์ด ซีอีโอ ของเอฟอีวี เอเชีย กล่าวว่า “มหานครขนาดใหญ่ที่มีประชากรและรถยนต์จำนวนมหาศาลอย่างกรุงเทพ สามารถลดมลพิษและพัฒนาคุณภาพของอากาศได้ด้วยเทคโนโลยีและการพัฒนาระบบยานยนต์ของเอฟอีวี เช่น รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า รวมถึงการขับเคลื่อนของรถที่ใช้สองและสามล้อด้วย สิ่งสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นคือ ต้องเข้าถึงความต้องการและให้การสนับสนุนลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ” บริษัท เอฟอีวี กำลังจะเข้ามามีส่วนร่วมในโครงการต่างๆของไทย โดยพัฒนาปรับปรุงระบบขับเคลื่อนแบบเดิมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการจัดส่งอุปกรณ์ทดสอบเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยได้จัดส่ง อุปกรณ์ทดสอบเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ ระบบตรวจสอบและควบคุม คุณภาพตลอดจนการจัดหาฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการพัฒนาของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของไทยในยุค 4.0 นายอันเดรย์ สพุงศ์ กรรมการผู้จัดการของบริษัท เอฟอีวี (ไทยแลนด์) จำกัด มีประสบการณ์ในการทำงานกับเอฟอีวีมายาวนานถึง20ปีและมีความคุ้นเคยกับภูมิภาคในเอเชีย โดยก่อนหน้านี้เคยเป็น ซีอีโอของ บริษัทเอฟอีวี ประจำประเทศจีนรับผิดชอบงานด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ หลังจากที่เคยดูแลปฏิบัติการทดลองระบบส่งกำลังยานยนต์ในประเทศอินเดียมาก่อน เกี่ยวกับเอฟอีวี เอฟอีวี เป็นบริษัทผู้ให้บริการด้านการพัฒนายานยนต์ที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองอาเคิน ประเทศเยอรมนี มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ทั้งในด้านการให้คำปรึกษาพัฒนานวัตกรรมยานยนต์ ระบบส่งกำลัง ตัวถังรถยนต์ ระบบเกียร์ ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริดและพลังงานไฟฟ้ารวมไปถึงเชื้อเพลิงทดแทนที่เพิ่มความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ เอฟอีวียังมีความเชี่ยวชาญในการเพิ่มประสิทธิภาพระบบควบคุมอิเลกทรอนิกส์ที่เป็นกลไกในการเชื่อมต่อระบบขับเคลื่อนทั้งหมดเข้าด้วยกันโดยเฉพาะในการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ เอฟอีวี กรุ๊ป มีพนักงานซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่ถึง 5,600 คนในบริษัทสาขา 40  แห่งในสี่ทวีปทั่วโลก...
อสังหาฯเศรษฐกิจไลฟสไตล์

ผุด “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ”

1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ ร่วมกับ MQDC โชว์โปรเจ็กต์มาสเตอร์พีซ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” มูลค่า 4,800 ล้านบาท คอนโดมิเนียมหรูต้นทองหล่อ นิยามของการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานฝีมือชั้นสูง “Minimal Luxury” พร้อมผสานนวัตกรรม Intelligent Technology นางสาวธัญทิพ เจียรวนนท์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะนำมาตรฐานระดับโลกมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับมาสเตอร์พีซ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท คอนโดมิเนียมมิกซ์ยูส (Mixed-use)  ระดับอัลตร้าลักชัวรี่ โครงการ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” ตั้งอยู่บริเวณปากซอยทองหล่อ            (สุขุมวิท 55) ห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ เพียง 30 เมตร เป็นอาคารสูง 30 ชั้น ขนาด 1 ไร่ 2 งาน 46 ตารางวา หรือ 2,584 ตารางเมตร มีจำนวนทั้งสิ้น 198 ยูนิต แบ่งเป็นห้องชุด 4 รูปแบบ ได้แก่ 1-Bedroom (1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่...
กิจกรรม & CSRกิน-เที่ยวมาร์เก็ตติ้งเศรษฐกิจไลฟสไตล์ไลฟสไตล์

งาน มหัศจรรย์พันธุ์ไม้เมืองหนาวครั้งที่ 7

งานมหัศจรรย์พันธุ์ไม้เมืองหนาว เฉลิมพระเกียรติฯ เปิดรับคลื่นมหาชน ชื่นชมความงดงามและ พันธ์ไม้เมืองหนาวที่ได้จากนวัตกรรมก๊าซธรรมชาติภายในโดมเย็น ที่ถูกเนรมิตเป็น ทุ่งดอกทิวลิปหลากสี ดอกไฮเดรนเยียสายพันธุ์ใหม่ ดอกดาเลียขนาดยักษ์ ดอกดิจิทาลิสสีสวย ชื่นชมดอกซากุระจากต้นจริง ไร่สตรอเบอรี่ และสีสันอื่นๆอีกมากมาย งาน มหัศจรรย์พันธุ์ไม้เมืองหนาวครั้งที่ 7 : ทิวลิปบานที่ระยอง ปีนี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-15 สิงหาคม 2561 ณ สวนสมุนไพรสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ภายใต้คอนเซปต์ THE BLOOMING OF HAPPINESS : ทิวลิปบาน เทศกาลแห่งความสุข ฤดูกาลแห่งความสุขที่กำลังผลิบานอีกครั้ง กับเทศกาลความงดงามของดอกทิวลิปและดอกไม้เมืองหนาวนานาพันธุ์  ภายในโดมยักษ์ พื้นที่ กว่า 4,500 ตารางเมตร  มีดอกไม้เมืองหนาวหลากสายพันธุ์ รวมกว่า 100,000 ต้น ที่สามารถนำมาปลูกได้ในอากาศเมืองร้อนอย่างประเทศไทย เช่น ดอกทิวลิป ดอกลิลลี่ ดอกดาเลีย ดอกไฮเดรนเยีย ดอกกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิส และต้นสตรอเบอรี Harumiki (ฮะรุมิกิ) สตรอเบอรี่สายพันธุ์ Akihime (อากิฮิเมะ) สายพันธุ์แท้จากประเทศญี่ปุ่น ที่ทาง ปตท. ได้นำพลังงานความเย็นไปใช้เพื่อปลูกและพัฒนาขยายพันธุ์ เพื่อส่งต่อความรู้ให้กับชุมชน นายสมนึก แพงวาปี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ แยกก๊าซธรรมชาติ  ปตท.กล่าวว่า  หลังจาก ในปี 2553 ปตท. โดย โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง ริเริ่ม โครงการการใช้ความเย็นและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในการวิจัยไม้เมืองหนาว ตามโครงการในพระราชดำริฯ เมื่อประเทศไทยเริ่มนำเข้า  ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มาเป็นแหล่งพลังงานสำรอง ตอบสนองความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น โดยค้นพบว่ามี “พลังความเย็น” จำนวนมากที่เป็นผลพลอยได้จากกระบวนการเปลี่ยนสถานะ LNG...
1 47 48 49 50 51
Page 49 of 51