บรรณาธิการ Buzzbiz

บรรณาธิการ Buzzbiz

อดีตผู้สื่อข่าวภูมิภาค เศรษฐกิจ รถยนต์ ที่เดินทางอยู่บนฐานันดอน 4 มานาน นับ30 ปี
นวัตกรรมรถใหม่ต่างประเทศ

นิสสันจับมืออิตัลดีไซน์  อวดโฉม จีที-อาร์ อัลตร้า-ลิมิเต็ด

จีที-อาร์ (GT- R) อัลตร้า-ลิมิเต็ด รถต้นแบบสร้างบนพื้นฐานของนิสสัน จีที-อาร์ นิสโม รุ่นปี 2018 รถรุ่นสุดเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 50 ปีของทั้งจีที-อาร์ และ อิตัลดีไซน์ และพร้อมเผยโฉมเป็นครั้งแรกเดือนสิงหาคมนี้ที่ยุโรป "หลายๆ ครั้งที่มีคำถามว่าถ้าเราสร้าง GT-R โดยไม่มีข้อจำกัด และจะสร้างมันขึ้นมาจริงๆ มันจะออกมาเป็นยังไง" นาย อัลฟอนโซ อัลไบซา รองประธานอาวุโสฝ่ายออกแบบของนิสสัน  กล่าว "นี่ยังเป็นเวลาที่หาได้ยากมากๆ เมื่อช่วงเวลาที่สำคัญ ทั้งสองช่วงจะมาบรรจบกัน ไม่ว่าจะเป็น วาระ 50 ปี ของอิตัลดีไซน์ หนึ่งในผู้สรรค์สร้างโลกยานยนต์ และ วาระ 50 ปีของ จีที-อาร์ รถยนต์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของนิสสันที่สร้างความตื่นเต้นให้กับโลก ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระที่สำคัญทั้งสองนี้ นิสสัน และ อิตัลดีไซน์ จึงสร้างสรรค์ จีที-อาร์ รุ่นพิเศษ เพื่อฉลองการครบรอบ 50 ปีในการเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมนี้" อิตัลดีไซน์ รับหน้าที่ในการพัฒนา งานวิศวกรรม และการสร้างสรรค์รถ ขณะที่การออกแบบภายนอกและภายในอันโดดเด่นได้รับการสร้างสรรค์จากทีมงานที่ หน่วยงานออกแบบของนิสสันของยุโรป ในกรุงลอนดอน และ หน่วยงานออกแบบของนิสสันในสหรัฐอเมริกา การออกแบบเริ่มต้นที่บริเวณส่วนหน้า นิสสัน จีที-อาร์50 โดย อิตัลดีไซน์ มีส่วนประกอบที่ใช้สีทองตกแต่งซึ่งทอดยาวเกือบเต็มในส่วนความกว้างของตัวรถ ฝากระโปรงมีความโดดเด่นชัดเจนมากขึ้น พร้อมไฟหน้า LED รูปทรงเพรียงบาง ลากยาวจากแนวล้อหน้าไปจนถึงริมแผงหน้าที่เป็นช่องระบายความร้อน ขณะที่ด้านข้าง แนวเส้นหลังคา (roofline) ได้ปรับลดลง 54 มิลลิเมตรเสริมให้มีความโดดเด่นมากขึ้น พร้อมลดความสูงในส่วนตรงกลาง ขณะที่ส่วนนอกปรับยกขึ้นเพื่อให้ความแข็งแกร่งของหลังคา นอกจากนี้ช่องระบายความร้อนด้านหลังล้อ ทรง "ดาบซามูไร" อันเป็นสัญลักษณ์ จีที-อาร์ ถูกเสริมความโดดเด่นขึ้นด้วยการใช้แผ่นสีทอง และขยายจากด้านล่างของประตูไปที่เส้นข้างของตัวรถ (Shoulder line) ส่วนด้านหลังของตัวรถ ถูกไฮไลต์ด้วยการเสริมความกว้าง...
นวัตกรรมรถยนต์ต่างประเทศรถใหม่ต่างประเทศออโตโชว์

 นิสสันนำเทคโนโลยี B2Vและนิสสัน ลีฟร่วมงาน CES

สำหรับไฮไลท์ภายในงานของบูธนิสสัน ได้แก่ เทคโนโลยี B2V(Brain to Vehicle) ล่าสุด ที่เปรียบเสมือนผู้ช่วยในการขับขี่ โดยเทคโลยี B2V นี้สามารถอ่านสัญญาณจากคลื่นสมองและสามารถเรียนรู้จากผู้ขับ เพื่อช่วยสร้างปฏิกิริยาตอบสนองในการขับขี่ที่รวดเร็วขึ้น รวมถึงช่วยเพิ่มสุนทรียภาพของการขับขี่ นอกจากนี้ นิสสันยังยกทัพรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ได้แก่ รถยนต์ต้นแบบ IMx และรถยนต์นิสสัน ลีฟ (LEAF) รุ่นใหม่ มาจัดแสดงภายในงาน  รถยนต์ต้นแบบ IMx ซึ่งเปิดตัวในระดับภูมิภาคเป็นครั้งแรก เป็นรถยนต์ 4 ที่นั่งที่โดดเด่นในด้านการเชื่อมต่อระหว่างรถยนต์และผู้ขับขี่ มาพร้อมเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบ และระบบส่งกำลังไฟฟ้าที่ให้แรงบิดสูงกว่า รถยนต์สปอร์ต อย่าง นิสสัน จีที-อาร์ (GT-R) รถยนต์ นิสสัน ลีฟ รุ่น ใหม่ล่าสุดถือเป็นรถยนต์ที่มียอดขายดีที่สุดในโลก ผสมผสานความเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% กับเทคโนโลยีขั้นสูง อันได้แก่ ระบบขับขี่อัตโนมัติ ProPILOT และการทำงานอันเรียบง่ายของระบบ e-Pedal รวมไปถึงมีการเชื่อมต่อที่ดีระหว่างผู้ใช้ รถยนต์ และ สังคมที่ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ รถยนต์นิสสัน ลีฟซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของแนวคิดนิสสัน อินเทลลิ้เจนท์ โมบิลิตี้ได้เริ่มวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 ที่ผ่านมา...
นวัตกรรมรถยนต์ต่างประเทศรถใหม่ต่างประเทศ

นิสสัน โน๊ต e-POWER

นิสสัน มอเตอร์ ประกาศความสำเร็จที่ก้าวล้ำหน้าไปอีกขั้นบนพื้นฐานแนวคิด “การขับเคลื่อนอัจฉริยะ หรือ Nissan Intelligent Mobility” ด้วยการเปิดตัวเทคโนโลยีขุมพลังแบบใหม่ล่าสุดในชื่อ อี-เพาเวอร์ (e-POWER)ซึ่งใช้ในนิสสัน โน๊ต(NOTE )ใหม่ ขุมพลัง อี-เพาเวอร์ (e-POWER) เป็นการประยุกต์จากแนวคิดของเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่มีอยู่ในนิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) ที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายและได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานมาแล้วทั่วโลก โดยในระบบใหม่นี้มีการติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดเล็กเพิ่มเติมเพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟฟ้าพลังงานสูง เพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าชาร์จเข้ามาเก็บในแบตเตอรี ลดการพึ่งพาพลังงานไฟฟ้าจากภายนอก แต่ยังให้พลังงานไฟฟ้าในขนาดใกล้เคียงกัน ขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าอัจฉริยะ อี-เพาเวอร์ ประกอบด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง, เครื่องกำเนิดไฟฟ้า (Generator), อินเวอร์เตอร์ (Inverter), และ มอเตอร์ไฟฟ้า โดยรถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งมาให้กับมอเตอร์ไฟฟ้านั้น จะถูกเก็บอยู่ในแบตเตอรี่กำลังสูง โดยที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายในขนาดกะทัดรัดในทำหน้าที่ในการสร้างกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บอยู่ตลอดเวลาเพื่อชดเชยกระแสไฟฟ้าที่ถูกใช้งานไป ด้วยแนวคิดและการออกแบบที่ล้ำหน้าของทีมวิจัยและพัฒนาของนิสสัน ภายใต้ ระบบอี-เพาเวอร์ เครื่องยนต์สันดาปภายในจะไม่เชื่อมต่อเข้ากับชุดส่งกำลังหรือเกียร์โดยตรง แต่จะทำงานร่วมกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าและชาร์จเข้ามาเก็บในแบตเตอรี ก่อนที่กระแสไฟฟ้านี้จะถูกส่งไปสู่มอเตอร์ไฟฟ้าในการสร้างกำลังเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนตัวรถ ระบบ อี-เพาเวอร์ มีความโดดเด่นกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับระบบไฮบริดแบบดั้งเดิม ซึ่งมีมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็กเชื่อมต่อเข้ากับเครื่องยนต์สันดาปภายในเพื่อขับเคลื่อนผ่านระบบส่งกำลัง เพราะในระบบไฮบริดทั่วไปมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงานในภาวะที่แบตเตอรีมีกำลังไฟฟ้าต่ำหรือขณะอยู่ในย่านความเร็วสูง และขณะเดียวกัน ระบบ อี-เพาเวอร์ยังแตกต่างกับรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับพลังงานไฟฟ้ามาจากชาร์จแบตเตอรีเพียงอย่างเดียวอีกด้วย โดยทั่วไป โครงสร้างของระบบรถยนต์ไฟฟ้าแบบ นิสสัน ลีฟจำเป็นต้องมีมอเตอร์และแบตเตอรีขนาดใหญ่เป็นแหล่งกำลังหลักในการขับเคลื่อน ซึ่งยากต่อการนำระบบไปประยุกต์ให้เข้ากับรถยนต์แบบคอมแพ็กต์ทั่วไปได้ แต่ทีมวิศวกรของนิสสันสามารถค้นพบวิธีการที่ลดได้ทั้งขนาดและน้ำหนักไปจนถึงพัฒนาวิธีการควบคุมมอเตอร์และจัดการพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้น ซึ่งผลที่ได้ทำให้ขุมพลัง อี-เพาเวอร์ มีแบตเตอรีที่มีขนาดย่อมกว่านิสสัน ลีฟ แต่สามารถให้ความรู้สึกในการขับขี่เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า ขุมพลังแบบ อี-เพาเวอร์ (e-POWER) ให้แรงบิดมหาศาลในทันทีและคงที่ตลอดเวลาทำให้มีอัตราเร่งที่รวดเร็วแต่นุ่มนวล นอกจากนี้ยังมีความเงียบในระหว่างการขับเคลื่อนเช่นเดียวกับนิสสัน ลีฟที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% โดยในระบบ อี-เพาเวอร์ เครื่องยนต์สันดาปภายในจะไม่ได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนตัวรถ จึงทำให้มีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ในรถยนต์ไฮบริดทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้งานในเมือง ซึ่งเทคโนโลยีสุดล้ำนี้ยังให้ผู้ขับขี่ได้รับประโยชน์เฉกเช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี (Battery Electric Vehicle – BEV) แต่สามารถลดความวิตกกังวลเมื่อต้องหาสถานีชาร์จไฟฟ้าได้อีกด้วย...
นวัตกรรม

จีเอ็มใช้ AI ออกแบบรถยนต์น้ำหนักเบา

จีเอ็ม เป็นหนึ่งในผู้ผลิตยานยนต์รายแรกของโลกที่นำเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ใหม่จากบริษัท ออโตเดสก์ ซึ่งเป็นบริษัทรับออกแบบและพัฒนาซอฟต์แวร์จากเบย์ แอเรีย ซานฟรานซิสโก โดยเทคโนโลยีล้ำสมัยดังกล่าวใช้ระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) และอัลกอริทึมในปัญญาประดิษฐ์ (AI)*  ซึ่งสามารถจัดเรียงและสับเปลี่ยนแบบชิ้นส่วนต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ได้ตัวเลือกแบบที่มีประสิทธิภาพสูง และมักจะเป็นรูปทรงเรขาคณิตแบบออแกนิค แบบที่ได้จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายและการตั้งค่าของพารามิเตอร์ของผู้ใช้ โดยผู้ใช้จะต้องป้อนข้อมูลต่างๆ เช่น น้ำหนัก ความทนทาน ประเภทวัสดุ วิธีการผลิต และอื่นๆ จากนั้นผู้ใช้จะสามารถเลือกชิ้นส่วนที่เหมาะสมดีที่สุดเพื่อพิมพ์สามมิติ “เทคโนโลยีขั้นสูงนี้ทำให้เราสามารถออกแบบและพัฒนาชิ้นส่วนยานยนต์ในอนาคตของเราให้มีน้ำหนักเบาลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น” นายเคน เคลเซอร์ รองประธานกรรมการ ฝ่าย Global Vehicle Components and Subsystems บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) กล่าว  “เมื่อเรานำเทคโนโลยีการออกแบบมารวมกับความก้าวหน้าในการผลิต เช่น การพิมพ์สามมิติ ขั้นตอนการออกแบบและพัฒนายานยนต์ของเราจึงเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เราสามารถสร้างชิ้นงานโดยการออกแบบร่วมกับคอมพิวเตอร์ในแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะทำได้” จีเอ็มกำลังนำอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันเข้าสู่ยุคของยานยนต์น้ำหนักเบา เทคโนโลยีการออกแบบใหม่นี้ช่วยลดมวลน้ำหนักรถยนต์ลงอย่างเห็นได้ชัด และเพิ่มโอกาสในการรวมชิ้นส่วนซึ่งไม่สามารถทำได้ผ่านการออกแบบและวิธีในรูปแบบเดิม   จีเอ็มนำนวัตกรรมดังกล่าวมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์แห่งอนาคต วิศวกรจีเอ็มและออโตเดสก์ใช้เทคโนโลยีใหม่นี้ในการผลิตชิ้นส่วนของโครงสร้างเบาะที่นั่ง ซึ่งมีน้ำหนักเบาลง 40% และแข็งแรงขึ้น 20% เมื่อเทียบกับชิ้นส่วนเดิม นอกจากนี้ เทคโนโลยีดังกล่าวยังรวบรวมส่วนประกอบที่แตกต่างกัน 8 ส่วน แล้วพิมพ์ออกมาเป็นชิ้นส่วนแบบสามมิติ 1 แบบอีกด้วย   “แนวคิดการนำ AI มาช่วยใช้ออกแบบโครงสร้างเชิงวิศวกรรมนับว่าเป็นอนาคตของวงการการผลิต และจีเอ็มถือเป็นผู้นำในการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในลดน้ำหนักรถยนต์ในอนาคตของจีเอ็ม”       นายสก็อตต์ รีส รองประธานกรรมการอาวุโส ฝ่ายผลิตภัณฑ์เพื่อการผลิตและการก่อสร้าง จากบริษัท ออโตเดสก์ กล่าว “การนำ AI มาใช้ในการออกแบบเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทางวิศวกรรมอย่างสิ้นเชิง เพราะเราต้องคำนึงถึงขั้นตอนทางการผลิตตั้งแต่เริ่มต้นการออกแบบ และด้วยเทคโนโลยีนี้ วิศวกรจีเอ็มจะสามารถตรวจสอบตัวเลือกในการออกแบบที่พร้อมผลิตและมีประสิทธิภาพสูงกว่าร้อยแบบ ได้เร็วกว่าการตรวจสอบการออกแบบทีละแบบตามวิถีเดิม”...
นวัตกรรมไลฟสไตล์

ฟอร์ดเพิ่มฟีเจอร์ล้ำในรถรุ่นใหม่

นาย ดอน บัทเลอร์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการเชื่อมต่อแพลตฟอร์มรถยนต์และผลิตภัณฑ์  ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี กล่าวว่า ผู้ใช้แอปพลิเคชัน เวซ (Waze Application) ทั่วโลกสามารถใช้บริการระบบแผนที่นำทางและบอกสภาพการจราจรตามเวลาจริง พร้อมควบคุมการสั่งงานด้วยเสียง ผ่านหน้าจอสัมผัสในรถยนต์ฟอร์ดรุ่นต่าง ๆ ด้วยระบบ SYNC® AppLink® ได้แล้ววันนี้ โดยเจ้าของรถฟอร์ด รุ่นที่ติดตั้งระบบซิงค์ 3 อยู่แล้ว สามารถใช้ฟีเจอร์ในแอปพลิเคชันนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาเส้นทางที่ดีกว่า ระบุตำแหน่งสถานีบริการน้ำมันที่มีราคาน้ำมันถูกกว่า และการรายงานอุบัติเหตุบนท้องถนน สำหรับวิธีการใช้งาน เพียงแค่เชื่อมต่อไอโฟนที่ติดตั้งแอปพลิเคชัน เวซ เข้ากับยูเอสบีพอร์ตของรถยนต์ และเรียกใช้งานผ่านหน้าจอสัมผัสในรถ ซึ่งผู้ใช้ระบบ SYNC AppLink จะสามารถเข้าใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ ของแอปพลิเคชันบนหน้าจอที่ใหญ่กว่า และยังสามารถฟังเสียงนำทางผ่านระบบลำโพงและไมโครโฟนในรถยนต์ได้อย่างง่ายดาย และสะดวกสบาย “ลูกค้าของฟอร์ดจะได้ใช้ประโยชน์จากแอปพลิเคชัน เวซ อย่างเต็มที่ พร้อมกับความสะดวกสบายที่เพิ่มมากขึ้นจากการใช้แอปพลิเคชันผ่านหน้าจอที่ใหญ่กว่า” นอกจากความสามารถในการรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการจราจรติดขัด อุบัติเหตุ และราคาน้ำมันแล้ว การที่ฟอร์ดจับมือกับแอปพลิเคชัน เวซ ยังรวมไปถึงการอัพเดทล่าสุดอื่น ๆ ของแอปพลิเคชัน เช่น ทอล์ค ทู เวซ (Talk to Waze) ที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมการใช้งานแอปพลิเคชันผ่านคำสั่งเสียงได้ รวมไปถึงฟีเจอร์ต่างๆ อย่างเช่น การแสดงตัวเลือกเส้นทางเพิ่มเติมเพื่อหลีกเลี่ยงช่องจราจรที่หนาแน่น ตัวเลือกการนำทางอื่นๆ และการคำนวณเวลาที่จะไปถึงที่หมายได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น นายเจนส์ บารอน หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์ ด้านแอปพลิเคชันในรถยนต์ของแอปพลิเคชัน เวซ กล่าวว่า “เรามีความยินดีที่ผู้ขับขี่รถฟอร์ดที่ติดตั้งระบบซิงค์ 3 จะได้ใช้แอปพลิเคชัน เวซ สำหรับ iOS จากในรถยนต์ และเข้าถึงฟีเจอร์อันล้ำสมัยต่างๆ ของเราอย่างเช่น การวางแผนการขับขี่ ตัวเลือกเส้นทาง ระบบสั่งการด้วยเสียง ทอล์คทูเวซ และอื่นๆ ซึ่งผู้ขับขี่จะได้รับข้อมูลการแนะนำเส้นทางที่ดีที่สุด พร้อมการคำนวณระยะเวลาที่ใช้ถึงจุดหมายปลายทางที่แม่นยำที่สุด เนื่องจากคอมมูนิตี้ผู้ขับขี่ทั่วโลกต่างช่วยกันอัพเดทข้อมูลแผนที่ตามเวลาจริงระหว่างการเดินทาง...
อสังหาฯเศรษฐกิจไลฟสไตล์

 เปิดตัวโรงแรม ซิกส์เซ้นส์ แห่งแรกในกรุงเทพฯ

MQDC และ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ เปิดตัวโรงแรม ซิกส์เซ้นส์ แห่งแรกในกรุงเทพฯ พร้อมด้วยที่พักอาศัยจำนวน 36 หลัง ภายใต้แบรนด์ ซิกส์เซ้นส์ ภายในเดอะ ฟอร์เรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูสที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ตั้งอยู่ในพื้นที่บางนากว่า 119 เอเคอร์ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ เปิดตัวโรงแรมภายใต้แบรนด์ ซิกส์เซ้นส์ ครั้งแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ในเดอะ ฟอร์เรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูสที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล  ความร่วมมือกันอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ครอบคลุมถึงที่อยู่อาศัยแบรนด์ ซิกส์เซ้นส์ ด้วย โดยได้มีพิธีลงนามสัญญาร่วมกัน ณ ศูนย์ RISC ชั้น 4 แมกโนเลีย ราชดำริ บูเลอวาร์ด นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC และมร.คริส โอ ประธานผู้อำนวยการงานโรงแรม  MQDC เป็นตัวแทนในการเซ็นสัญญา พร้อมด้วย นายนีล เจค็อบส์  ตัวแทนจากซิกส์เซ้นส์ “การร่วมมือกันในครั้งนี้เกิดการแบ่งปันความปรารถนาดีในการมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพที่ดีที่สุดแก่ผู้อยู่อาศัยและแขกที่เข้าพัก เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ในขณะที่ยังคงให้ความสำคัญต่อความกลมเกลียวระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานของ MQDC ที่เราเรียกว่า “for all well-being” นายวิสิษฐ์กล่าว “ซิกส์เซ้นส์ ได้อุทิศการทำงานอย่างหนักเพื่อเอาชนะใจลูกค้า ตามวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ว่าด้วย Intelligent Luxury MQDC รู้สึกเป็นเกียรติที่จะเป็นเจ้าบ้านในการต้อนรับแบรนด์ระดับโลกอย่าง ซิกส์เซ้นส์ เข้ามาอยู่ในเดอะ ฟอร์เรสเทียส์ โครงการมิกซ์ยูสที่พัฒนาภายใต้แนวคิด “Sustainnovation” ที่คำนึงถึงทุกองค์ประกอบของสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน รวมถึงการขยายพื้นที่ป่าและพื้นที่สีเขียวที่ช่วยทำให้เกิดประสบการณ์ที่มีคุณค่าและความทรงจำที่ดี” นายนีล เจค็อบส์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทซิกส์เซ้นส์...
กิจกรรม & CSRเศรษฐกิจไลฟสไตล์

บทความพิเศษ เรื่อง: ป่าต้นน้ำกับปัญหาการจัดการน้ำของไทย

ข่าวเขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย ในแขวงอัตตะปือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศลาวแตก สาเหตุจากการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดความเดือดร้อนเกิดอุทกภัยและโศกนาฏกรรมแก่ประชาชนคนในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและไม่น่าเกิดขึ้นเพียงเพราะการดูแลแก้ไขปัญหาไม่ทันท่วงทีหรืออาจจะเกิดจากความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบ จะอย่างไรก็ตามต้องขอแสดงความเสียใจพร้อมส่งกำลังใจไปยังประสบภัยและผู้สูญเสียในครั้งนี้ด้วย ล่าสุดข่าวที่เกี่ยวกับเขื่อนและน้ำที่เกิดขึ้นในประเทศไทยก็มีข่าวทำนองเดียวกันคือ น้ำในเขื่อนจังหวัดเพชรบุรี ที่สูงเกินระดับมาตรฐานซึ่งไม่เข้าใจเช่นเดียวกันว่าทำไมผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องจึงปล่อยให้มาถึงจุดนี้ได้ทำไมจึงไม่มีการเฝ้าระวังและระบายน้ำไปก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ ท้ายที่สุดก็ต้องปล่อยน้ำระบายออกมาทางสปิลเวย์ จนก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมสร้างความเดือดร้อนไปตามเส้นทางน้ำที่ผ่าน ท่วมหมู่บ้าน ท่วมตลาด ท่วมถนนที่ชาวบ้านเคยสัญจรไปมาจังหวัดเพชรบุรีนั้นมีเขื่อนอยู่ทั้งหมด 3 เขื่อน คือเขื่อนแก่งกระจาน  เขื่อนแม่ประจัน และเขื่อนเพชร ซึ่งเขื่อนที่มีปัญหาน้ำล้นอยู่ในขณะนี้ก็คือเขื่อนแก่งกระจานที่มีอาณาเขตติดกับชายแดนเมียนมาทางฝั่งมะริด ทะวาย วิธีการระบายน้ำผ่านทางสปิลเวย์อย่างเดียวคงจะไม่พอ ล่าสุดเห็นว่าจะมีการเปิดประตูเขื่อนให้น้ำระบายออกมาทีละน้อยด้วยอีกทางหนึ่ง จะอย่างไรก็ตามน้ำส่วนเกินนี้ก็กำลังมุ่งพุ่งตรงมายังตัวเมืองเพชรบุรีและพื้นที่ใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นอำเภอท่ายาง อำเภอบ้านแหลม โดยไปตามเส้นคู คลองชลประทานต่าง ๆ ส่วนหนึ่งก็จะต้องผ่านเขื่อนเพชรซึ่งอยู่ใกล้กับอำเภอท่ายาง ถ้าระดับน้ำยังล้นเกินก็จะมีปัญหากับชาวบ้านพื้นที่แถบนี้อย่างแน่นอน จากข่าวที่นำเสนอผ่านทางทีวี ดูแล้วก็บรรยากาศคล้ายๆกับกรุงเทพมหานครในปี 2554 คือชาวบ้านร้านตลาดเริ่มก่ออิฐ ถือปูน วางกระสอบทราย กั้นผ้าใบหวังว่าจะป้องกันน้ำที่หลากไหลลงมาได้ แอบคิดในใจว่า “ไม่น่าจะมีอะไรที่จะสู้กับพลังของธรรมชาติได้” เพราะเคยมีประสบการณ์ตรงมาแล้ว ทำทุกวิถีทางทั้งใช้ดินน้ำมันใส่ถุงก๊อปแก๊ปยัดใส่โถส้วมกันน้ำมาจากทางนี้ การปิดยาแนวด้วยปูนชั้นดี การก่ออิฐ ซ้อนด้วยกระสอบทรายทับด้วยผ้าใบ ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ “เอาไม่อยู่” แต่ก็เข้าใจพี่น้องชาวเพชรบุรี เพราะจะต้องแก้ไขตามสถานการณ์...ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย  ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้อีกทางนะครับ ถ้าจะวิเคราะห์เจาะลึกกันจริงๆ สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการบริหารจัดการน้ำที่ประเทศของเรายังทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตามเพราะบ้านเราประสบพบเจอปัญหา “น้ำท่วม ฝนแล้ง ซ้ำซาก” มาหลายสิบปีโดยไม่เปลี่ยนแปลงเลย สาเหตุหลักอีกหนึ่งของปัญหาที่น่าจะเกี่ยวข้องก็คือการที่รัฐยังปล่อยให้มีการตัดไม้ทำลายป่าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้พื้นที่ป่าดิบสมบูรณ์กลายเป็นป่าพืชไร่เลื่อนลอย เนื่องด้วยปล่อยชาวบ้านหักร้างถางพงปลูกข้าวโพด ข้าวฟ่าง ข้าวไร่และพืชผักต่างๆ จนระบบนิเวศน์ของดินและผืนป่าเปลี่ยนแปลงไป เพราะระบบรากของพืชไร่และพืชผักต่างๆ ที่มนุษย์ปลูกนั้นมีความแตกต่างจากป่าไม้ยืนต้นธรรมชาติที่หยั่งรากลึกแผ่ขยายไปได้กว้างไกล ทำให้พื้นที่หน้าดินมีความสามารถสูงกว่ามากในการดูดซับกักเก็บน้ำฝน ปริมาณน้ำฝนของประเทศไทยปีหนึ่งสูงเกือบ 800,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ในอดีตป่าไม้ยืนต้นทำหน้าที่ในการกักเก็บน้ำฝนได้มากถึง 70% และอีก 30 % ที่เหลือไหลลงสู่ห้วย หนอง คลอง บึง และมุ่งไปยังเขื่อนต่างๆ ทำให้ป่าในอดีตทำหน้าที่เป็นแก้มลิงซับน้ำให้ไหลลงสู่เขื่อนอย่างพอเหมาะพอดีแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เมื่อ “ป่าเขาลำเนาไพร” ส่วนใหญ่กลายเป็น “ป่าเขาหัวโล้น” จึงทำให้ไม่มีความสามารถในการกักเก็บซับน้ำ จึงทำหน้าที่กักเก็บน้ำได้เพียง 30% และอีก...
กิน-เที่ยวเศรษฐกิจไลฟสไตล์

เมล่อนอินทรีย์ สหกรณ์วัดจันทร์ สร้างอาชีพ-รายได้ยั่งยืนให้เกษตรกร

สหกรณ์วัดจันทร์ จังหวัดพิษณุโลก เมินราคาผักตกต่ำ หันส่งเสริมสมาชิกปลูกเมล่อนอินทรีย์ พืชเศรษฐกิจตัวใหม่มาแรง  ปลูกง่าย ขายคล่อง ราคาพุ่ง กำไรงาม รสชาติดีจนลูกค้าติดใจ ตลาดยังมีความต้องการ แถมราคาถูกกว่าห้าง               สร้างอาชีพยั่งยืนให้เกษตรกร เตรียมขยายโรงเรือนปลูกเพิ่มพร้อมฝึกสมาชิกนำไปปลูกเองที่บ้าน เน้นทำคุณภาพและขายตามออเดอร์  เตรียมแผนขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม พร้อมหาตลาดรองรับเพิ่มเพื่อกระจายเมล่อนสู่ผู้บริโภคในราคาไม่แพง นางกัญญา งามสงวน ผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์วัดจันทร์ จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จในการส่งเสริมอาชีพปลูกเมล่อนอินทรีย์  ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ว่า สหกรณ์ได้ส่งเสริมสมาชิกหันมาปลูก            เมล่อนอินทรีย์ ในลักษณะปลูกในโดม  ซึ่งสหกรณ์มีเป้าหมายที่จะสร้างอาชีพสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้กับสมาชิกและเป็นแหล่งผลิตอาหารปลอดสารพิษให้กับผู้บริโภค ที่ผ่านมา สหกรณ์ได้เริ่มต้นส่งเสริมสมาชิกปลูกผักบุ้งอินทรีย์ปลอดสาร  เป็นเวลา 1 ปี แต่เจอกับอุปสรรคเรื่องราคาผักบุ้งตกต่ำ ไม่มีตลาดรองรับและไม่คุ้มค่าแรง จึงได้หาความรู้เพิ่มเติม โดยเข้าอบรมกับสำนักงานเกษตรจังหวัดพิษณุโลก และสำนักงานสหกรณ์จังหวัดพิษณุโลก ที่ได้มาสนับสนุนโครงการปลูกพืชทางเลือกและผักปลอดภัยเพื่อเพิ่มรายได้เสริมให้กับกลุ่มสมาชิก  ได้เรียนรู้วิธีการปลูกเมล่อนตามนโยบายยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรและสร้างมูลค้า เพื่อช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น  และพัฒนาให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้กับเกษตรกร “สหกรณ์ได้รับคำแนะนำจากสำนักงานเกษตรจังหวัดในการเรียนรู้วิธีการปลูกเมล่อน ใช้เวลาเพียง 60 วัน                 ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตนำไปขายได้ และได้เตรียมตลาดไว้รองรับผลผลิตของสมาชิก เพื่อช่วยกระจายไปสู่ผู้บริโภค จากนั้นสหกรณ์จึงลงทุนสร้างโรงเรือนกลางของสหกรณ์ใช้งบประมาณ 600,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าเมล่อน เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่กำลังมาแรงที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากับการลงทุน อีกทั้งกำลังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคจำนวนมาก หากมีตลาดรองรับชัดเจน ก็จะขยายพื้นที่ปลูกเพิ่ม เชื่อว่าในอนาคตเมล่อนจะทำเงินให้กับเกษตรกรได้อย่างงดงาม ต่อมาสหกรณ์ได้หันมาปลูกเมล่อนอินทรีย์ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี โดยซื้อเมล็ดพันธุ์เมล่อนพันธุ์กรีนเน็ตมาปลูก ซึ่งทำให้ผลผลิตมีรสชาติดี เนื้อนุ่ม หวาน หอม มีทั้งสีส้มและเขียว ปัจจุบันขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ถ้าซื้อเหมาถึงฟาร์มขายราคากิโลกรัมละ 80 บาท ซึ่งถูกกว่าตามห้างทั่วไปและยังปลอดสารด้วย เพราะ อยากให้ผู้บริโภคได้กินเมล่อนปลอดสารและราคาที่ไม่แพง”นางกัญญา กล่าว...
งานแสดงรถยนต์รถยนต์ในประเทศเศรษฐกิจเศรษฐกิจมหาภาค

สภาอุตฯเพิ่มเป้าผลิตรถยนต์ เป็น 2.08 ล้านคัน

เศรษฐกิจไทยฉลุย สภาอุตฯปรับเป้าการผลิตรถยนต์เพิ่มเป็น 2.08 ล้านคัน โดยคงเป้าผลิตเพื่อส่งออก 1.1 ล้านคัน และเพิ่มเป้าผลิตเพื่อขายในประเทศ เป็น 9.8 แสนคัน นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ รองประธานและโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขประมาณการการผลิตรถยนต์ของสมาชิกกลุ่มฯ ในปี พ.ศ.2561 ซึ่งปรับใหม่ในเดือนกรกฎาคม 2561 โดยแยกเป็นการผลิตเพื่อการส่งออก และการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ดังนี้ รถยนต์ประมาณการการผลิตรถยนต์ในปี พ.ศ.2561 ปรับเพิ่มเป้าการผลิตจากเป้าเดิมอีก 80,000 คัน เป็นผลิต 2,080,000 คัน มากกว่าปี พ.ศ.2560 ที่ผลิตได้ 1,988,823 คัน ซึ่งเพิ่มขึ้น 4.58 % ผลิตเพื่อส่งออก คงเป้าเดิม 1,100,000 คัน เท่ากับ 52.88% ของยอดผลิตทั้งหมด ลดลงจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 1,126,432 คัน หรือลดลง 2.35 % ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ปรับเพิ่มเป้าจากเป้าเดิมอีก 80,000 คัน เป็นผลิต 980,000 คัน เท่ากับ 47.12 % ของยอดผลิตทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ผลิตได้ 862,391 คัน หรือเพิ่มขึ้น 13.64 % เป้าขายในประเทศเพิ่มขึ้นตามเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐ การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย การท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น ดัชนีรายได้เกษตรกรดีขึ้น รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ที่มีต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมดีขึ้น ส่วนการส่งออกคงเป้าเดิม เพราะยังกังวลสงครามการค้าที่อาจขยายตัวขึ้น ค่าเงินสกุลต่างๆ ผันผวนซึ่งอาจฉุดการค้าโลกและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงได้ ราคาน้ำมันดิบผันผวนและกระแสเงินไหลออกจากประเทศเกิดใหม่ จากการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดด้วย  ...
กิจกรรม & CSRรถยนต์ในประเทศ

อวดโฉม เลกซัส ES ใหม่

เปิดตัว เลกซัส ES ใหม่ “Of Peace and Power” ยนตรกรรมที่ผสานสุนทรียภาพในการขับขี่และสมรรถนะอันสมบูรณ์แบบ นายมิจิโนบุ ซึงาตะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย นายยูกิฮิโระ คิโตะ ผู้ช่วยหัวหน้าทีมวิศวกร เลกซัส ES เลกซัส อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และ นายวุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ร่วมแถลงข่าวแนะนำ เลกซัส ES ใหม่ เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี กรุงเทพฯ โดย ES 300h รุ่น Luxury  ราคา   3.59 ล้านบาท ES 300h รุ่น Grand Luxury       3.76 ล้านบาท  ES 300h รุ่น Premium  ราคา 4.19 ล้านบาทพร้อมการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปีไม่จำกัดระยะทาง เลกซัส ES (Executive Sedan) คือ ยนตรกรรมซีดานหรูขนาดกลาง ซึ่งเลกซัส ES รุ่นแรกถือกำเนิดขึ้นพร้อมเปิดตัวแบรนด์เลกซัสคู่กับเลกซัส LS เมื่อปีพ.ศ....
1 282 283 284 285 286 289
Page 284 of 289