เปิดตัวครั้งแรกของโลก กับ TOYOTA HILUX TRAVO และ HILUX TRAVO-e กับคอนเซ็ปต์ “GREATER TOGETHER…สู่ความยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน”

มร.ไซม่อน ฮัมฟรีส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านแบรนด์ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ประเทศญี่ปุ่น / มร.นิค โฮจิออส ผู้จัดการอาวุโส โตโยต้าดีไซน์ ประเทศออสเตรเลีย / ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม / ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม / นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม / นางสาวจิรัฐิติกาล จันทราทิพย์ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี / นายกลินท์ สารสิน ประธานคณะกรรมการ และ มร.โนริอากิ ยามาชิตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ พร้อมกับ นายศุภกร รัตนวราหะ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด พร้อมด้วย นางสาวอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย (ประเทศไทย) จำกัด และ มร.ฮาคุโฮ โช เจ้าของแชมป์กีฬาซูโม่ระดับโยโกสุนะ (Yokozuna) ชื่อดัง ลำดับที่ 69 จากประเทศญี่ปุ่น ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวรถกระบะมหาชนรุ่นใหม่ล่าสุด เป็นครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทยกับ TOYOTA HILUX TRAVO และ HILUX TRAVO-e เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
ในประเทศไทย รถกระบะสะท้อนความผูกพันอันลึกซึ้ง เสมือนเพื่อนร่วมเดินทาง ที่อยู่เคียงข้างกันมาอย่างยาวนาน จนถึงปัจจุบันเราจะเห็นรถกระบะในทุกมิติของชีวิต ไม่ว่าจะใช้ในการประกอบอาชีพ ขนส่งสินค้า เดินทางในชีวิตประจำวัน หรือเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย จึงกล่าวได้ว่า สำหรับคนไทย รถกระบะไม่ใช่แค่พาหนะ แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
จุดเริ่มต้นของก้าวสำคัญที่โตโยต้า และคนไทยได้ร่วมกันสร้างขึ้น คือ โครงการ IMV (Innovative International Multi-purpose Vehicle) เมื่อปีพ.ศ. 2547 โดย IMV คือโครงการผลิตรถกระบะขนาด 1 ตัน ภายใต้ชื่อรถกระบะ ไฮลักซ์ (รุ่นที่ 7) รถยนต์อเนกประสงค์ ฟอร์จูนเนอร์ (และรถมินิแวน อินโนวาในต่างประเทศ) รวมถึงเครื่องยนต์ และชิ้นส่วนอะไหล่ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออก ด้วยมูลค่าการลงทุน ณ ขณะนั้น 30,000 ล้านบาท ภายใต้วัตถุประสงค์ที่จะผลิตรถยนต์ที่มีคุณภาพสูง สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค โดยรถยนต์ในโครงการดังกล่าวได้ผ่านการทุ่มเท วิจัย และพัฒนา เพื่อให้ได้รถที่ตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในทุกภูมิภาคทั่วโลก
โครงการ IMV ได้ทำให้ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เปลี่ยนบทบาทจากฐานการผลิตที่เน้นตลาดภายในประเทศ สู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถกระบะ ในปัจจุบัน HILUX ที่ผลิตในไทยได้ถูกส่งออกไปยัง 133 ประเทศทั่วโลก มียอดส่งออกสะสมกว่า 4.6 ล้านคัน มีการใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศด้วยสัดส่วนสูงสุดถึง 95% ก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ให้กับคนไทย ผ่านการจ้างงานกว่า 275,000 คน ทั้งพนักงานในเครือ พนักงานของผู้แทนจำหน่ายฯ 153 แห่ง และผู้ผลิตชิ้นส่วนกว่า 290 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ HILUX มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย คิดเป็นกว่า 30% ของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งหมด และมีส่วนช่วยสร้าง GDP ให้ประเทศไทยมากถึง 3% ต่อปี สะท้อนถึงมูลค่าทางเศรษฐกิจอันมหาศาลตลอดห่วงโซ่อุปทานที่เกิดขึ้น
ทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ว่า HILUX ไม่ได้เป็นเพียงรถกระบะ แต่คือ “รถกระบะมหาชน” ที่มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของประเทศอย่างแท้จริง
และในวันนี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ภูมิใจนำเสนอรถกระบะไฮลักซ์รุ่นใหม่ เจเนอเรชันที่ 9 เป็นครั้งแรกของโลก (World Premiere) ภายใต้ชื่อ “TOYOTA HILUX TRAVO” ด้วยการนำทีมของวิศวกรชาวไทย HILUX TRAVO ได้รับการพัฒนาผ่านการรับฟังเสียงของผู้ใช้ชาวไทยอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ พร้อมนำข้อมูลมาปรับปรุงและต่อยอดการพัฒนา เพื่อตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ของคนไทยได้อย่างดีที่สุด
ด้วยดีไซน์ใหม่ ทั้งการออกแบบภายนอกและภายใน ภายใต้ดีไซน์คอนเซ็ปต์ “Tough & Agile” ที่ผสาน ”ความแข็งแกร่ง เข้ากับ ความคล่องตัว” มาพร้อมกับการออกแบบด้านหน้าด้วยแนวคิด “Cyber Sumo” ที่เป็นท่าเตรียมพร้อมในการต่อสู้ Shikiri Pose เพื่อแสดงให้เห็นถึงความ แข็งแกร่ง (Stable) แข็งแรง (Strong) และ มั่นคง (Steady) การออกแบบภายในใช้แนวคิด “Robust Simplicity” ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทุกฟังก์ชันใช้งานได้จริง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และ ทันสมัยที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีความปลอดภัย Toyota Safety Sense เวอร์ชันล่าสุด และอุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอีกมากมาย
HILUX TRAVO ได้ให้ความสำคัญกับการบังคับควบคุม และความนุ่มนวลในการขับขี่เป็นพิเศษ จึงได้แนะนำเทคโนโลยี “Dynamic Cloud” ในการพัฒนาองค์ประกอบต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขับขี่ เพื่อมอบการขับขี่ที่นุ่มนวล บังคับควบคุมแม่นยำ และทรงตัวเยี่ยม
และ HILUX TRAVO ทุกรุ่นจะมาพร้อมกับขุมพลัง GD Super Power ขนาด 2.8 ลิตร ที่ให้กำลังสูง และมีการปรับปรุงความประหยัดน้ำมันให้ดียิ่งขึ้น โดยประหยัดน้ำมันมากกว่าเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร สูงสุดถึง 5.8% และมากกว่าเครื่อง 2.8 ลิตร รุ่นเดิมถึง 7.5%
นอกจากรุ่นเครื่องยนต์ดีเซล โตโยต้า นำเสนออีกหนึ่งทางเลือกตามหลักคิด Multi-Pathway กับรถกระบะไฟฟ้า “HILUX TRAVO-e” ซึ่งเป็นการแนะนำรถไฟฟ้าแบบ Body-on-frame รุ่นแรกของโตโยต้าที่มีการวางจำหน่ายจริง พัฒนาขึ้นโดยยึดถือหลักการ QDR (Quality-Durability-Reliability) อันเป็นหัวใจของโตโยต้า และยังคงสมรรถนะ ความทนทานตามมาตรฐานรถกระบะ HILUX และเสริมด้วยเทคโนโลยี “Diamond Guard” ช่วยปกป้องแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้า ช่วยให้คุณใช้งาน TRAVO-e ได้อย่างมั่นใจในความปลอดภัย ทั้งการใช้งานส่วนบุคคล การบรรทุกและการขับขี่แบบออฟโรด
ดร.ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเปิดงานแถลงข่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมา โตโยต้าได้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย ไม่เพียงแต่ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์รายใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นพันธมิตรที่ร่วมพัฒนาบุคลากรไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนการเติบโตของผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นมาเป็น ฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญระดับโลก
การเปิดตัว HILUX รุ่นใหม่ ในวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึง ศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของโตโยต้าในประเทศไทย ที่สามารถออกแบบ พัฒนา และผลิตยานยนต์ที่ตอบโจทย์ทั้งความต้องการของผู้บริโภค และความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะการพัฒนาเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ปล่อยมลพิษต่ำ และรองรับเชื้อเพลิงสะอาด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนประเทศ สู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ (Next-Generation Automotive Industry)
กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์พลังงานสะอาด (Green Mobility) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักตามเป้าหมาย “Carbon Neutrality 2050” ของประเทศไทย การที่โตโยต้าเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นการสะท้อนถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ ทั้งให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ Supply Chain อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์สมัยใหม่อย่างยั่งยืน (Next-Generation Automotive Industry) ทั้งในด้านการผลิตชิ้นส่วน เทคโนโลยี ระบบโลจิสติกส์ และบุคลากรที่มีทักษะสูง การที่โตโยต้าลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ Hybrid รถยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือเทคโนโลยีไฮโดรเจน ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการสร้างระบบนิเวศการผลิตภายในประเทศให้แข็งแกร่ง เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตที่ยั่งยืนของภูมิภาค
ผมเชื่อมั่นว่า การเปิดตัว Toyota HILUX รุ่นใหม่ ในวันนี้ จะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของโตโยต้าในการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในด้านสมรรถนะ ความปลอดภัย ความคุ้มค่า และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเป็นการยืนยันถึงความเชื่อมั่นของโตโยต้าที่มีต่อประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์แห่งภูมิภาค”
มร.ไซม่อน ฮัมฟรีส์ แถลงข่าวแนะนำ ไฮลักซ์ ทราโว่ ว่า “โตโยต้ามีความผูกพันอันยาวนานกับประเทศไทย มากกว่า 60 ปี ซึ่งความผูกพันนี้ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนทางธุรกิจ แต่คือหุ้นส่วน ที่กลายเป็นมิตรภาพ ซึ่งโตโยต้ากล่าวถึงแนวคิด “Best in Town” อยู่เสมอ และประเทศไทยคือภาพสะท้อนที่ชัดเจนของปรัชญานี้ ในฐานะประเทศแรกในทวีปเอเชียที่โตโยต้าผลิตรถยนต์ นอกประเทศญี่ปุ่น
เมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพที่เราเริ่มปลูกไว้เมื่อ พ.ศ.2506 ได้รับการฟูมฟักโดยคนไทย นับตั้งแต่การสนับสนุนจากรัฐบาลไทย พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้าของเรา ทำให้ประเทศไทยในปัจจุบัน กลายเป็นศูนย์กลางด้านการผลิต ด้านนวัตกรรม และเหนือสิ่งอื่นใดคือการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี นำไปสู่ความสำเร็จระดับโลก ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า เกิดจากรากฐานความแข็งแกร่งจากประเทศไทย ซึ่งผู้คนใน 133 ประเทศทั่วโลกได้รับประโยชน์จากผลลัพธ์ของความร่วมมือครั้งนี้ จากการที่รถยนต์โตโยต้ากว่า 14 ล้านคันได้ถูกผลิตขึ้นที่นี่ ประเทศไทย
มร. อากิโอะ โตโยดะ ประธานคณะกรรมการบริหารของโตโยต้า ได้เล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของพันธมิตรทุกท่านเป็นอย่างดี จากประสบการณ์ที่เขาได้ร่วมทำงานกับทีมงาน (IMV project) ในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมพื้นฐานความเป็นผู้นำ นั่นคือ การเคารพวัฒนธรรมท้องถิ่น และให้ความสำคัญกับการตัดสินใจร่วมกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่าง มร. อากิโอะกับประเทศไทยได้ดีที่สุด นั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์ภายใต้โครงการ IMV เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว
ถึงแม้ว่า เรื่องราวของ HILUX ถือกำเนิดขึ้นในปี พ.ศ. 2511 หากแต่ในปี พ.ศ. 2547 ภายใต้การนำของ มร.อากิโอะ ในฐานะหัวหน้าภาคพื้นเอเชีย ทำให้ HILUX กลายเป็นส่วนหนึ่งของ IMV ซีรีส์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกอย่างแท้จริง และสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิด Best in Town และจิตวิญญาณแห่งการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ (Monozukuri) ของโตโยต้า เป็นที่มาของโครงการ IMV ที่นำพาให้ HILUX เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
กล่าวได้ว่าคงไม่มีรถยนต์รุ่นใดที่ดีไปกว่า HILUX ที่จะแสดงถึงความสำคัญของประเทศไทยที่มีต่อโตโยต้าได้ เราภูมิใจที่ได้ยินว่าหลายคนเรียก HILUX ว่าเป็นรถกระบะมหาชนอย่างแท้จริง
HILUX ใหม่ ที่เราประกาศในวันนี้ คือเจเนอเรชันที่ 9 ของรถระดับตำนาน ซึ่งในแต่ละเจเนอเรชัน HILUXได้รับการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการพัฒนาจากการใช้งานจริงบนท้องถนน ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเหล่าวิศวกร และที่สำคัญที่สุด คือการรับฟังเสียงของลูกค้าทั่วโลก โดย HILUX เป็นรถกระบะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทที่หมุนเปลี่ยนไปของโลกและสังคมเช่นเดียวกัน
โตโยต้ารับฟังเสียงตั้งแต่คนงานในเหมืองที่ต้องการความทรหด ครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น เจ้าของธุรกิจที่ใส่ใจเรื่องความประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงนักผจญภัยรุ่นใหม่ที่ต้องการดีไซน์และเทคโนโลยีที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ ไปสู่ยานพาหนะที่อุ่นใจและไว้วางใจได้ พร้อมเชื่อมโยงผู้คนเข้ากับโอกาสต่างๆ ด้วยยนตรกรรมที่แข็งแกร่ง เรียบง่าย และทนทาน
เมื่อมองไปข้างหน้า โตโยต้ากำลังมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ที่ไม่จำกัดเพียงหนทางใดหนใดหนึ่ง หากแต่มุ่งนำเสนอทางเลือกอันหลากหลาย (Multi-Pathway) เพราะความจริงคือ ไม่มีภูมิภาคใดหรือลูกค้าคนใด ที่เหมือนกัน ความหลากหลายนี้ครอบคลุมถึงระบบขับเคลื่อน รูปแบบตัวรถ และความสามารถในการปรับแต่ง…ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยที่โตโยต้าได้พัฒนา HILUX แต่ละรุ่นให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คำมั่นสัญญาที่ยังคงเดิม นั่นคือ HILUX คือเพื่อนคู่ใจและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
นางสาวอัญญารัตน์ สุทธิเบญจกุล หัวหน้าวิศวกรระดับภูมิภาค บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด กล่าวถึงแนวคิดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ว่า “วันนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเริ่มประวัติศาสตร์บทใหม่สำหรับ HILUX และยังนับเป็นบทใหม่สำหรับการวิจัย พัฒนา และการผลิตของเราในประเทศไทย สำหรับดิฉันแล้ว นี่คือผลลัพธ์จากความทุ่มเทตลอดหลายปี จากบุคลากรผู้มีความสามารถและความเชี่ยวชาญจากกลุ่มประเทศในเอเชีย และกลุ่มประเทศโลกใต้ ภายใต้การทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานใหญ่ของ Toyota ที่ประเทศญี่ปุ่น ควบคู่ไปกับการรับฟังคำแนะนำจากเสียงของลูกค้า ทั้งจากประเทศไทยและจากทั่วโลก
HILUX ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานจริงจาก 7 ใน 8 ภูมิภาคทั่วโลก สำหรับ HILUX รุ่นใหม่นี้ พวกเราได้เดินทางไปทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ทะเลทรายในตะวันออกกลาง ที่ราบสูงในอเมริกาใต้ ทุ่งหญ้าในแอฟริกา ไปจนถึงพื้นที่ห่างไกลของออสเตรเลีย และพื้นที่หนาวจัดของยุโรป
แต่ละตลาดต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราได้เรียนรู้จากสภาพท้องถนน ภูมิอากาศ และไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แตกต่างกัน แล้วนำข้อมูลเชิงลึกเหล่านั้นมาพัฒนาเป็น แม่แบบในการพัฒนา (Blueprint)
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เราตั้งใจพัฒนาจากในระดับภูมิภาค เพื่อออกแบบรถให้สอดคล้องกับสภาพที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษามาตรฐานระดับโลกของโตโยต้าเอาไว้ ทั้งในด้านความปลอดภัยและสมรรถนะ ผลลัพธ์ก็คือรถยนต์ที่กลายเป็น “เพื่อนคู่ใจและเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต” อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ HILUX รุ่นใหม่กำลังพัฒนาไปพร้อมกับยานยนต์ไฟฟ้า (electrification) เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ (connected technologies) และบริการดิจิทัล (digital services) โดยที่เรายังคงยึดมั่นในรากฐานเดิม ทุกองค์ประกอบตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการทดสอบ ล้วนถูกขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างยานยนต์ที่น่าเชื่อถือ ยืดหยุ่น และพร้อมสำหรับอนาคต ความหลงใหลนี้ผลักดันให้เราสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในขณะที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าของ QDR (คุณภาพ ความทนทาน และความน่าเชื่อถือ) ที่ลูกค้าคาดหวังจากโตโยต้า
ในขณะที่โลกกำลังก้าวไปสู่สังคมแห่งความเป็นกลางทางคาร์บอน โตโยต้ามีเป้าหมายชัดเจน “จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง” โตโยต้าเชื่อว่าไม่มีทางออกเดียวที่ตอบโจทย์ลูกค้าทั้งหมดได้ แต่เราต้องมี “ทางเลือกที่หลากหลาย” เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานและวิถีชีวิตของแต่ละคน HILUX ใหม่พร้อมแล้วสำหรับความจริงนี้ ด้วยการพัฒนาให้ก้าวข้ามเครื่องยนต์สันดาปแบบเดิม เพิ่มทางเลือกใหม่ของระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (BEV – Battery Electric Vehicle) เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกตลาด ทุกลูกค้า และทุกความต้องการ แนวทาง Multi-Pathway นี้คือการสร้างโซลูชันการเดินทางที่ครอบคลุม ปฏิบัติได้จริง และยั่งยืนสำหรับทุกคนฝ
HILUX BEV รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบให้ช่วยลดมลพิษทางอากาศ ขณะเดียวกันยังคงสมรรถนะของรถแบบ Body-on-Frame ไว้อย่างครบถ้วน — ทั้งความสามารถในการลุยออฟโรด การลุยน้ำลึก และการบรรทุกหรือการลากจูง เป้าหมายของเราคือทำให้ HILUX เป็นรถที่ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้ใช้ในเมือง นักผจญภัย ไปจนถึงผู้คนที่ทำงานในอาชีพต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตและสถานการณ์พลังงานของแต่ละประเทศ ทั้งหมดนี้เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนของโลก
TOYOTA HILUX TRAVO มาพร้อมหลากหลายรุ่นย่อย ตอบโจทย์ทุกความต้องการ
ดับเบิ้ลแค็บ (DOUBLE CAB)
Overland Plus AT
ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4TREX ราคา 1,366,000 บาท
ขับเคลื่อนสองล้อ PRERUNNER ราคา 1,176,000 บาท
Overland AT
ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4TREX ราคา 1,292,000 บาท
ขับเคลื่อนสองล้อ PRERUNNER ราคา 1,102,000 บาท
2.8 Premium AT
ขับเคลื่อนสองล้อ PRERUNNER ราคา 999,000 บาท
2.8 Premium MT
ขับเคลื่อนสี่ล้อ 4TREX ราคา 1,090,000 บาท
ขับเคลื่อนสองล้อ PRERUNNER ราคา 949,000 บาท
2.8 Smart AT
ขับเคลื่อนสองล้อ PRERUNNER ราคา 945,000 บาท
2.8 Smart MT
ขับเคลื่อนสองล้อ PRERUNNER ราคา 895,000 บาท



