กิจกรรม & CSRไลฟสไตล์

BRABUS Thailand by Target Car Center Thailandทุ่ม 100 ล้านบาท ขึ้นโชว์รูมและศูนย์บริการแห่งใหม่

244views


Brabus Thailand by Target Car Center Thailand ประสบความสำเร็จจากงานมอเตอร์โชว์ 2023 อย่างดี ต่อเนื่องความสำเร็จด้วยการจัดกิจกรรม Brabus Thailand Mini Motorshow 2023 เพื่อสร้างเครือข่ายที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจาก Brabus ไลฟ์สไตล์แบบเต็มรูปแบบ ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และเรือสุดหรูจาก Brabus Marine ณ บรีซ คาเฟ่ ริมทะเลสาบ เมืองทองธานี ในวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคมที่ผ่านมา เสริมความเชื่อมั่นด้วยการลงทุน 100 ล้านบาท ขึ้นสำนักงานใหญ่พร้อมศูนย์บริการครบวงจร บนถนนพระราม 3 คาดเปิดบริการปลายปีนี้

นายชัชวัฏ สุวรรณโณชิน กรรมการผู้จัดการ Brabus (Thailand) by Target Car Center (Thailand) เปิดเผยถึง บราบัส ไทยแลนด์ว่า “ปีนี้ เราได้รับแรงสนับสนุนจากบราบัส เยอรมันเป็นอย่างดี เปิดโอกาสให้จัดกิจกรรมการตลาดและการขายอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภค และเครือข่ายที่ดีกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง หลังจากประสบความสำเร็จจากการเป็นบูทที่มีผลิตภัณฑ์ในบูทรวมมูลค่าสูงที่สุดในงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ผ่านมา ซึ่งเราได้รับการตอบรับจากตลาดดีมาก การจัด Brabus Thailand Mini Motor show 2023 ในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความต้องการของลูกค้าและผู้ที่สนใจได้รับรู้และเข้าใจถึงว่า บราบัส ไทยแลนด์ พร้อมเดินหน้าธุรกิจอย่างมั่นคง และเตรียมคัดสรรโปรดักส์ใหม่ๆเข้ามาให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อในหลากหลายโมเดลมากยิ่งขึ้น ตามที่ทาง Brabus เยอรมันได้มีจำหน่ายทุกผลิตภัณฑ์”

สำหรับกิจกรรมในครั้งนี้ นอกจากนำบราบัสในหลายๆโมเดลมาจัดแสดงแล้ว บริษัทฯ ได้เชิญคุณเฉลิมยศ ถาวโรฤทธิ์ ลูกค้าเหนี่ยวแน่นและยาวนานของบราบัส มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงโปรดักซ์บราบัส “ร่วมถึงให้แง่คิดและมุมมองในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆของบราบัส เพื่อเป็น Roadmapให้กับลูกค้าใหม่ๆได้นำมาใช้ในการพิจารณาตัดสินใจในการซื้ออีกด้วย”
ในส่วนของบราบัส ไทยแลนด์ นอกจากความพร้อมในเรื่องของโมเดลใหม่อีกมากมายแล้ว บริษัท ทาร์เกต คาร์ เซ็นเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กำลังขยายสำนักงานใหญ่และศูนย์บริการใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บนพื้นที่ กว่า 2 ไร่บนถนนพระราม 3 คาดว่าจะเสร็จพร้อมให้บริการในปลายปีนี้ ซึ่งจะประกอบไปด้วยส่วนโชว์รูมที่จอดรถซูเปอร์คาร์หายาก และมีส่วนของ Brabus จัดแสดงให้ลูกค้าได้ชมทั้งรถและชุดแต่ง พร้อมส่วนรับรองลูกค้าสุดพิเศษ Exclusive Loungeให้ลูกค้าของบริษัทฯอีกด้วย
สำหรับรถยนต์รุ่นพิเศษส่วนหนึ่งที่นำมาจัดแสดงใน Brabus Thailand Mini Motor Show 2023 ครั้งนี้ประกอบด้วย
• Mercedes-AMG G63 x Brabus Widestar Package
Mercedes-AMG G63 x Brabus Widestar Package ตัวถังอันทรงพลังและพละกำลังเหนือใคร G-Wagon มีดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร รูปทรงที่ดูแข็งแกร่ง น่าเกรงขามและมีเสน่ห์ ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย G-Wagon ก็ยังคงรูปแบบเดิมไว้ เมื่อติดตั้งชุดแต่ง Widestar จาก Brabus บนตัวถังของรุ่นเรือธงอย่าง Mercedes-AMG G63 เสริมซุ้มล้อแบบขยายเพื่อเพิ่มความกว้างของตัวรถอีก 100 มม. และให้ภาพลักษณ์ที่โดดเด่น นอกจากนี้ยังมีไฟ LED ที่รวมอยู่ในบังโคลนหน้าและหลังเพื่อมอบแสงสว่างตรงบันไดข้าง ชุดแต่ง Brabus Widestar ยังรวมถึงชุดกันชนหน้าและหลังที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความดุดันและเข้ากับซุ้มล้อทั้ง 4 ก่อนจะปิดท้ายด้วยล้อ Monoblock ตามแบบฉบับ Brabus

Mercedes-AMG G63 มาพร้อมเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ขนาด 4.0 ลิตร ที่ให้กำลัง 585 แรงม้าและแรงบิด 850 นิวตันเมตร เชื่อมต่อกับเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ ไปยังทั้ง 4 ล้อ ผ่านระบบขับเคลื่อนแบบ AMG Performance ทำให้เจ้า SUV ทรงกล่องสไตล์คลาสสิคคันนี้ สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ใน 4.5 วินาที พร้อมความเร็วสูงสุดที่ 250 กม./ชม.
Mercedes-AMG G63 เป็นรถยนต์อีกรุ่นหนึ่งของนักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ในสไตล์ที่ไม่เหมือนใครบนท้องถนน ซึ่ง Mercedes-AMG G63 ก็ตอบโจทย์ในทุกมิติ พร้อมสมรรถนะที่เหนือชั้นกว่ารุ่นอื่นๆ ที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดยังมาพร้อมกับชุดแต่ง Brabus Widestar จากโรงงานของ Brabus

Mercedes-Benz 280 SL Pagoda By Brabus Classic ที่ Brabus นำรถคลาสิคคาร์ มาปลุกจิตวิญญานใหม่อีกครั้ง ซึ่งมีแฟน Mercedes-Benz มากมาย ที่ชื่นชอบและสะสม รถประเภทนี้ Brabus นำ Mercedes-Benz 280 SL Pagoda รถสปอร์ตคันแรกที่ใช้นวัตกรรมตัวถังนิรภัย ตั้งแต่ปี 1968 ถึง 1971 มาพัฒนาเพิ่มเติมออกจากสายการผลิต Roadster สองที่นั่งเปิดตัวด้วยความสะดวกสบายที่ไม่เหมือนใคร สมรรถนะยอดเยี่ยม และความปลอดภัยที่ไม่เคยมีมาก่อน สนนราคาค่าตัวที่ 30 ล้านบาท และมีเพียงคันเดียวในประเทศไทยจาก Brabusโดยตรง

Brabus 92R คือซิตี้คาร์รุ่น Limited Edition ที่มีพื้นฐานมาจาก Smart EQ fortwo cabrio ที่ใช้ขุมพลังไฟฟ้า 100% แต่ได้รับการตกแต่งจาก Brabus ให้ดูดุดันและเหนือกว่าซิตี้คาร์ทั่วไป ด้วยล้อแบบสปอร์ตขนาด 16 นิ้วที่ด้านหน้าเเละ 17 นิ้วที่ด้านหลัง ส่วนการออกแบบด้านหน้าจะมาพร้อมช่องดักอากาศรังผึ้งขนาดใหญ่ 3 ช่อง, ดิฟฟิวเซอร์หน้า, การตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์รอบคันและระบบช่วงล่างแบบสปอร์ตที่ลดความสูงลง 25 มม.
มากับสีภายนอกพิเศษแบบ Tiffany blue การออกแบบภายในนั้นจะพบกับเบาะหนังสีเขียวอ่อนในคอนเซปท์ “Ultimate Ellipse” ของ Brabus, โลโก้ Brabus ที่พนักพิงศีรษะทั้ง 2 ฝั่ง, การตกแต่งด้วยคาร์บอนไฟเบอร์บนคอนโซลหน้าและช่องแอร์, แป้นเหยียบอะลูมิเนียมเเละพรมปูพื้นสีดำพร้อมโลโก้ Brabus

ขุมพลังของ Brabus 92R มาจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 91 แรงม้าเเละแรงบิด 180 นิวตันเมตร ซึ่งเป็นแรงบิดที่มากกว่ารุ่นมาตราฐานประมาณ 20 นิวตันเมตร โดยในโหมด “Sport +” จะสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ใน 10.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจะยังคงจำกัดไว้ที่ 130 กม./ชม. เเละมอบระยะการขับขี่สูงสุด 128 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง

นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่อื่นๆอีก 3 โหมดให้เลือกใช้นอกเหนือจาก “Sport +” ก็คือ “Basic, Eco และ Sport” โดยในโหมด Sport จะให้การตอบสนองของคันเร่งที่เร็วขึ้น ขณะที่ Eco จะช่วยเพิ่มระยะการขับขี่ที่มากขึ้น Brabus 92R จะถูกผลิตเพียง 50 คันเท่านั้น จำหน่ายในราคา 3.99 ล้านบาท และมีเพียงคันเดียวในประเทศไทย

Brabus 1300 R บิ๊กไบค์สายหรู 180 แรงม้า เร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 3.2 วินาทีพร้อมจะพาท่านพุ่งทะยานไปกับ นวัตกรรมความเร็ว สุดดุดันอย่างเหนือระดับ
ในความร่วมมือครั้งใหม่นี้ Brabus และ KTM ผนึกกำลังกันเพื่อสร้างรถจักรยานยนต์ที่เหนือกว่ารุ่นปกติ โดยรวบรวมจุดแข็งและผสมผสานความคิดสร้างสรรค์ของทั้ง 2 แบรนด์ ปรัชญาการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ วิศวกรรมทางเทคนิคและความเชี่ยวชาญด้านการผลิต เพื่อสร้างความท้าทายใหม่ ทำให้ได้ผลลัพธ์ชิ้นแรก นั่นคือ Brabus 1300R ที่เป็นรถจักรยานยนต์สุดหรูที่ไม่เหมือนใคร

Brabus 1300R มาขุมพลังเป็นเครื่องยนต์ V-Twin ขนาด 1,301 ซีซี ที่ให้กำลัง 180 แรงม้า ที่ 9,500 รอบต่อนาทีและแรงบิด 140 นิวตันเมตร ที่ 8,000 รอบต่อนาที ซึ่งกำลังนั่นจะเท่ากับ KTM 1290 SUPER DUKE R EVO ทุกประการ แต่จะมีการเสริมท่อไอเสียแบบท่อคู่แบบพิเศษของ BRABUS เพื่อมอบอัตราเร่งความเร็วจาก 0-96 กม./ชม. ใน 3.2 วินาที จะผลิตจำนวนจำกัดเพียง 154 คัน และเป็น Brabus 1300 R ที่มาในสีแดง Magma Red ที่มีเพียง 77 คันทั่วโลก คันที่นำมาโชว์ก็มีเพียงคันเดียวในไทยเช่นเดียวกัน ในราคาค่าตัวที่ 1.99 ล้านบาท

Brabus Marine เป็นผลมาจากการเป็นพันธมิตรที่ล้ำสมัยระหว่าง 2 บริษัทที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเภทเดียวกัน ที่เป็นการรวมตัวกันของ Axopar Boats ผู้ผลิตเรือสัญชาติฟินแลนด์และ Brabus ผู้ผลิตรถยนต์หรูหราที่ก่อตั้งมายาวนานและมีประสิทธิภาพสูง
Brabus Shadow 500 เรือสุดหรูที่มาพร้อมสมรรถนะความเร็วมากกว่า 50 นอต ที่มีความโดดเด่นทั้งดีไซน์ อัตราเร่งและแรงบิดมหาศาลจากเครื่องยนต์ Mercury V8 ProXs 250 ที่มอบกำลังมากกว่า 500 แรงม้า
Brabus Shadow 500 มีเอกลักษณ์ด้วยการออกแบบที่น่าดึงดูด โดดเด่นและมีสไตล์เป็นพิเศษ เส้นสายเชิงมุมพร้อมตัวเรือที่ยาวและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ ผสมผสานกับดาดฟ้าเรือที่ใช้งานได้จริงและหลากหลายภายในห้องโดยสารถูกออกแบบให้กลิ่นอายความอบอุ่นและสะดวกสบาย ด้วยห้องโดยสาร “Cabin”แบบ ‘ปิดสนิท’ ที่เหมาะสำหรับการเดินทางในทุกสภาพอากาศ ทั้งยังสามารถเปิดหลังคาและเปิดประตูด้านข้างขนาดใหญ่ได้ เมื่อต้องการเปลี่ยนบรรยากาศ นอกจากนี้ดาดฟ้าด้านหลังยังเรือสามารถเปลี่ยนพื้นที่นั่งเล่นเป็นเตียงอาบแดดได้อย่างง่ายดายเมื่อต้องการใช้พื้นที่สำหรับอาบแดดและพักผ่อน กับราคาค่าตัวที่ 15.9 ล้านบาท

Panerai Submesible S Brabus Blue Shadow Edition นาฬิกาสุดสมาร์ทเรือนนี้ เป็นความร่วมมือของ Brabus และ Panerai ผู้ผลิตนาฬิกาที่มีชื่อดังระดับโลกจากอิตาลีออกแบบนาฬิกาสุดพิเศษในชื่อว่า Panerai Submersible S BRABUS Blue Shadow Edition
การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของ Panerai Submersible S BRABUS Blue Shadow Edition ได้เน้นให้เห็นถึงสิ่งที่ดีที่สุดในโลกของการผลิตนาฬิการะดับพรีเมียมและการเดินเรือ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากคุณสมบัติการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของเรือสุดหรูในซีรีส์ BRABUS Shadowตัวเรือนขนาด 47 มม. ทำจากไททาเนียมและขึ้นรูปโดยใช้ DMLS (Direct Metal Laser Sintering) ซึ่งเป็นวิธีการของเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ ที่สร้างทั้งองค์ประกอบที่แข็งแรงและน้ำหนักเบา โครงสร้างตัวเรือนที่มีรูปทรงกันกระแทกอันเป็นเอกลักษณ์ของ Panerai ผสานกับตัวป้องกันเม็ดมะยม ก่อนจะปิดท้ายด้วยพื้นผิวด้านที่โดดเด่นขอบหน้าปัดผลิตจาก Carbotech ซึ่งเป็นวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ที่มีลวดลายหลากสีสัน ทำให้นาฬิกาแต่ละเรือนมีลักษณะเฉพาะตัวและโดดเด่นด้วยความทนทาน ความเบาและความทนทานต่อการกัดกร่อนสูง นอกจากนี้ยังมี Super-LumiNova™ สีน้ำเงินบนเข็มบอกเวลาเพื่อช่วยให้อ่านง่ายและสะดุดตาที่สำคัญนั้นมีจำนวนจำกัดเพียง 200 เรือนทั่วโลกเท่านั้น สนนราคาที่ 1.99 ล้านบาท