กิจกรรม & CSRเศรษฐกิจ

มิตซูบิชิฉลองครบ 60 ปี ผลิต 6 ล้านคัน เปิดตัวรถรุ่นพิเศษ‘Special Edition’

990views

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดกิจกรรมพบปะสื่อมวลชนในโอกาสการดำเนินธุรกิจครบ 60 ปีในประเทศไทย แถลงขอบคุณลูกค้าในประเทศไทยสำหรับการสนับสนุนมาตลอด 6 ทศวรรษ พร้อมเปิดตัวรถยนต์โมเดลรุ่นพิเศษ‘Special Edition’ และสีพิเศษ ภายใต้ ‘Passion Red Edition’ โดยนำรายได้ส่วนหนึ่งตอบแทนแก่ชุมชน ยืนยันความมุ่งมั่นพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยและมอบความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ผู้ขับขี่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับนำเสนอแผนการลงทุนและสร้างการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้งในอนาคต

นายโมะริคาซุ ชกกิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวในงาน “60ปี มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย และความมุ่งมั่นเพื่อสังคมไทย” ว่า “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส เริ่มต้นการผลิตรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีพ.ศ.2460 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลา104 ปี หลังจากนั้น ได้เข้ามาเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2504 โดยวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ เพื่อจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกตลอดระยะเวลา60 ปี ที่ผ่านมามิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดัน ให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ ให้กับประเทศ ผ่าน 7 แกนหลักสำคัญ ได้แก่ การจ้างงานการพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ การลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยีการส่งออก การช่วยเหลือสังคม และสิ่งแวดล้อม และในปี พ.ศ. 2507เราเริ่มผลิตรถยนต์ในประเทศไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2535เราเริ่มการผลิตรถยนต์ที่โรงงาน 1แหลมฉบังปัจจุบัน มีกำลังการผลิตสูงสุดถึง 424,000คันต่อปี ถือเป็นศูนย์การผลิตที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาศูนย์การผลิตของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ทั่วโลก”

นายชกกิ กล่าวต่อไปว่า ยิ่งไปกว่านั้น มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ผลิตโดยฝีมือคนไทยเป็นรายแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531จวบจนปัจจุบัน เรามียอดการส่งออกสะสมครบ 4.4ล้านคัน และส่งไปจำหน่ายทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ ล่าสุดเรามีความยินดีที่จะประกาศว่า เราได้บันทึกอีกก้าวสำคัญด้วยการผลิตรถยนต์มิตซูบิชิครบ 6 ล้านคันในประเทศไทย ”

ตลอดระยะเวลา 60 ปีมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ ของประเทศไทยผ่าน 7 แกนหลักที่สำคัญ ได้แก่ การลงทุน การส่งออก สิ่งแวดล้อม การถ่ายทอดเทคโนโลยี การช่วยเหลือสังคม การพัฒนาด้านทรัพยากรมนุษย์ และการจ้างงาน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องและถือเป็นศูนย์การผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ทั่วโลกพร้อมกันนี้มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังเป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์ที่ผลิตขึ้นด้วยฝีมือคนไทยเป็นรายแรก และถือเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการส่งออกรถยนต์ของประเทศไทย โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดการส่งออกรถยนต์สะสมแล้วมากกว่า4.4ล้านคัน (ตั้งแต่ปี 2531-2564)คิดเป็นร้อยละ75ของยอดการผลิตทั้งหมด เพื่อการส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ

ปัจจุบัน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยมีโรงงานผลิตรถยนต์รวม 3 แห่ง โรงงานผลิตเครื่องยนต์ 1 แห่ง สนามทดสอบรถยนต์เพื่อการคิดค้นและพัฒนายานยนต์แห่งแรกนอกประเทศญี่ปุ่น และสถาบันการศึกษาและฝึกอบรมสำหรับพนักงานและเจ้าหน้าที่ของผู้จำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิ ทั่วประเทศโดยตลอดระยะเวลา30 ปีที่ผ่านมา มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ลงทุนด้านต่างๆในประเทศไทยไปแล้วกว่า 82,000 ล้านบาท พร้อมตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญทั้งในระดับอาเซียนและระดับโลกของ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น

นายเออิอิชิ โคอิโตะ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ และบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า “ตลอดระยะเวลา 60ปี ของการดำเนินธุรกิจของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย มีรถยนต์มิตซูบิชิ วิ่งอยู่บนถนนเมืองไทยแล้วกว่า1.7ล้านคัน เรารู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีผู้ให้การสนับสนุนมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าพันธมิตรทางธุรกิจของเรา รวมถึงรัฐบาลไทยและนโยบายต่างๆ ที่เข้ามาช่วยส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจของเรา และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและส่งความสุขให้แก่คนไทยทุกคน เราได้จัดกิจกรรมพิเศษมากมายตลอดปี เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 60 ปี นอกเหนือจากแคมเปญ “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ในประเทศไทย ฉลอง 60 ปี แจก 60 ล้าน” เราจะเปิดตัว‘รถยนต์โมเดลพิเศษ’และรถยนต์รุ่นพิเศษพร้อมคอนเซ็ปต์สีแดง ‘Passion Red Edition’ ” พร้อมบริจาคเงินจากยอดขายของรถยนต์รุ่นดังกล่าว

รถยนต์สีแดงพิเศษ3 รุ่นแรก ที่เปิดตัว ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Passion Red Edition’ ประกอบด้วยมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต มิตซูบิชิ แอททราจ และมิตซูบิชิ มิราจ ซึ่งจะมีเฉดสีแดงแตกต่างกันไปมิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ตรถอเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยม พร้อมสีใหม่แดง Meduim Red แสดงถึงความมุ่งมั่นของลูกค้าที่จะไปถึงยังจุดหมายที่ไม่มีใครไปถึงและได้สัมผัสประสบการณ์และความสุขที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพื่อคนที่รัก มิตซูบิชิ แอททราจ และ มิตซูบิชิ มิราจทั้งสองรุ่นพิเศษมาพร้อมสีแดงRed Metallic และหลังคาดำ พร้อมการตกแต่งพิเศษในรุ่น ‘Special Edition’เพื่อยกระดับความมีสไตล์ และตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในเมืองที่มองหาแรงบันดาลใจเพื่อทุกความสำเร็จในชีวิต

ที่มาของการเลือกใช้สีแดง เนื่องมาจาก สีแดงคือสีที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เป็นสีของโลโก้ประจำแบรนด์ อีกทั้งยังเป็นสีแห่งตำนานเจ้าสนาม อย่างมิตซูบิชิ ปาเจโรด้วยชัยชนะถึง 12 ครั้ง จากสนามแข่งแรลลี่สุดหฤโหดระดับโลก อย่าง ปารีส-ดาการ์ และเป็นสีของมิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีโวลูชันเจ้าแห่งสนาม เวิลด์แรลลี่แชมเปี้ยนชิพ และจากตำนานบัลลังก์แชมเปียนเหล่านี้ ทำให้สีแดง เป็นสีที่เป็นสัญลักษณ์แห่งสมรรถนะที่ทรงพลังเพื่อให้โลกได้จดจำ สีแดงจึงเป็นสีที่บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ที่จะขับเคลื่อนความพึงพอใจและความมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จให้แก่ลูกค้า พร้อมกับมุ่งตอบแทนสังคมและสร้างวิถีชีวิตที่ยั่งยืน ไปพร้อมๆ กันด้วย

นอกจากนี้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังจะเผยโฉม‘มิตซูบิชิ ไทรทัน‘รักกิจ เอดิชั่น’ รถกระบะรุ่นพิเศษที่เปี่ยมด้วยสีสันสะดุดตาเพื่อฉลองครบ 60 ปี ซึ่งรถกระบะรุ่นพิเศษนี้ เป็นความร่วมมือกันระหว่าง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย และคุณรักกิจควรหาเวชศิลปินแนวสตรีทอาร์ตชื่อดังผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ศิลปะแนวเรขาคณิตที่มีสไตล์เฉพาะตัวมีความแน่วแน่ ในการสร้างสรรค์สไตล์ที่เป็นของตนเอง ความไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้และลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ทำให้วันนี้ เขาสามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นศิลปินแนวสตรีทอาร์ตชื่อดังแถวหน้าในระดับโลก เรื่องราวของคุณรักกิจ สะท้อนภาพความมุ่งมั่นและยืนหยัดต่อการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ผลงานกราฟิกที่เต็มไปด้วยสีสันถ่ายทอดมาสู่รถยนต์ที่ทรงพลังอย่างมิตซูบิชิ ไทรทัน ได้แรงบันดาลใจมาจากเทพเจ้าไทรทันเทพแห่งท้องทะเล เกิดเป็นผลงานชื่อ “THE GREAT TRITON”สัญลักษณ์แห่งความมุ่งมั่นของการสร้างสไตล์ในแบบของตัวเอง รถกระบะรุ่นพิเศษนี้จะเผยโฉมให้ชมอย่างเป็นทางการที่งานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 42นี้

“เรารู้สึกภูมิใจที่คุณรักกิจได้มาร่วมสร้างผลงานศิลปะสุดพิเศษให้กับมิตซูบิชิ ไทรทัน การให้การสนับสนุนการสร้างสรรค์ผลงานของคุณรักกิจและศิลปินชาวไทยท่านอื่นๆ สะท้อนถึงแนวคิดเรื่อง “Drive Your Ambition” ของเรา ที่จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมุ่งมั่นและฝ่าฟันไปสู่ความสำเร็จ  นายโคอิโตะ กล่าวสรุป

และเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณลูกค้าชาวไทยและตอบแทนสังคมไทยมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังประกาศเปิดตัวโครงการเพื่อสังคม ที่ให้ลูกค้าสามารถมีส่วนร่วมกับโครงการได้ โดยเมื่อซึ้อรถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต สีแดง Medium Redมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยจะร่วมบริจาคเงิน 5,000 บาท ต่อคัน และ 2,000 บาท ต่อคัน เมื่อซื้อรถยนต์รุ่นพิเศษ 3รุ่น ได้แก่ มิตซูบิชิ แอททราจ และมิตซูบิชิ มิราจรุ่น ‘Special Edition’ และ มิตซูบิชิ ไทรทัน ‘รักกิจ เอดิชั่น’ ตั้งแต่ 22 มีนาคม จนถึง 31 ธันวาคม 2564โดยเงินที่รวบรวมได้ทั้งหมด จะถูกนำไปบริจาคเพื่อการขับเคลื่อนและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืนใน 3 ด้าน ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้แก่ สิ่งแวดล้อม สุขภาพและชีวอนามัย และการศึกษาและจริยธรรม

สำหรับก้าวต่อไปจากนี้ แผนธุรกิจระยะกลาง3ปี ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่นจะยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความเติบโตทางธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย อีกทั้งยังคงมีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์การพลิกฟื้นทางเศรษฐกิจของไทยและศักยภาพการเติบโตของเศษฐกิจในประเทศ มีรายงานความคืบหน้าในการดำเนินธุรกิจของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือการเปิดโรงพ่นสีแห่งใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมซึ่งปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างในส่วนอาคารไปเกือบเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วกำหนดแล้วเสร็จและเปิดทำการภายในปลายปี 2564

และเพื่อสร้างความต่อเนื่องให้กับนโยบายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มีการสนับสนุนการใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2564 เป็นต้นมาด้วยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ศูนย์การผลิตรถยนต์มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยที่แหลมฉบัง

สำหรับการพัฒนาผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่มาช่วยตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ได้ผลิตและเปิดตัวรถยนต์ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวี โมเดลล่าสุด โมเดลเดียวของเอาท์แลนเดอร์ พีเอชอีวีในประเทศไทย ในปี 2563 และเป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดสัญชาติญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2563จำหน่ายแล้วในกว่า 60 ประเทศทั่วโลก และมียอดจำหน่ายสะสมทั่วโลกมากถึง 270,000 คัน เมื่อสิ้นสุดเดือนธันวาคมปี 2563 ที่ผ่านมารวมถึงยังเป็นรถยนต์เอสยูวีปลั๊กอินไฮบริดที่ขายดีที่สุดในตลาดยุโรปในปี 2563อีกด้วยและเพื่อก้าวสู่สังคมไร้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากการศึกษาการประเมินการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ตามวัฏจักรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment – LCA) ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น พบว่าตราบจนปัจจุบัน รถยนต์ประเภทปลั๊กอินไฮบริดเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เมื่อพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์   ไม่เฉพาะจากปลายท่อไอเสียรถยนต์ แต่หมายรวมถึงทั้งกระบวนการการผลิตทั้งหมด ทั้งจากการผลิตกระแสไฟฟ้า และจากกระบวนการการผลิตรถยนต์อีกด้วย

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทยยังมีแผนขยายเครือข่ายผู้จำหน่ายเพื่อให้เข้าถึงผู้ขับขี่ได้อย่างสะดวกสบายมากขึ้น และในเดือนมีนาคมนี้เราจะมีผู้จำหน่ายทั้งหมดครบ 240 แห่ง ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย และมีเป้าหมายขยายเพิ่มเป็น 250 แห่งภายในปี 2564 เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า โดยในปี 2563 บริษัทฯ คว้า 3 รางวัลจากทั้งหมด 4 รางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยม (TAQA)นอกจากการเพิ่มจำนวนผู้จำหน่าย บริษัทฯ ยังรักษามาตรฐานความเป็นเลิศและการมีบุคลากรที่มีความสามารถยอดเยี่ยมในทุกขั้นตอนการปฏิบัติงาน

อีกหนึ่งด้านที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญคือการมีส่วนร่วมกับลูกค้า ด้วยการดำเนินกิจกรรมการตลาดต่าง ๆ ที่เข้าถึงลูกค้าในระดับชุมชนและท้องถิ่นผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายผู้จำหน่าย สำหรับบริการหลังการขาย รถยนต์ทุกรุ่นของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย มาพร้อมกับความมั่นใจในคุณภาพและค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมของบริการหลังการขายภายใต้สโลแกน‘เราดูแลคุณแค่ขับ’ดูแลลูกค้าด้วยสินค้าและบริการที่ดีมีคุณภาพอะไหล่แท้การบริการโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกฝนอบรมเพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าตลอดจนความสะดวกสบายในการเข้ารับบริการด้วยเครือข่ายผู้จำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ

นอกจากนี้ ลูกค้ายังจะได้รับแพ็คเกจบริการหลังการขาย ‘Mitsubishi Service Package’ ได้แก่ฟรีค่าบริการเช็คระยะ 5 ปีและฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 5 ปี บริษัทฯ ยังยกระดับมาตรฐานการบริการหลังการขายด้วยการมอบการรับประกัน 5 ปีและฟรีค่าแรง 5 ปี ให้เป็นการรับประกันมาตรฐาน พร้อมกับโปรแกรมขยายการรับประกันคุณภาพWarranty Plusนานสูงสุดรวม 7 ปี ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้งานรถยนต์มิตซูบิชิที่มาพร้อมการบริการที่ไว้วางใจได้และมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมและมีราคาขายต่อน่าพึงพอใจ

บรรณาธิการ Buzzbiz
อดีตผู้สื่อข่าวภูมิภาค เศรษฐกิจ รถยนต์ ที่เดินทางอยู่บนฐานันดอน 4 มานาน นับ30 ปี